สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป
อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.
|
เวทนา การเสวยอารมณ์, การรับรู้ คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ในรสสัมผัสของอารมณ์ที่เกิดการผัสสะ ดังเช่น ความรู้สึกจากการรับรู้ในรสของอาหาร(อาหารนี้ทำหน้าที่เป็นอารมณ์)ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติจากการผัสสะของลิ้น คือชิวหา เป็นเพียงความรู้สึก(Feeling)ที่พึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดาที่อาจเป็น ความรู้สึกสุขสบาย เช่น ถูกใจ ชอบใจ สบายใจ สบายกายที่เรียกว่าสุขเวทนา หรือความรู้สึกไม่สบาย เช่น ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่สบายใจ ไม่สบายกายที่เรียกว่าทุกขเวทนา หรือความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ หรือเฉยๆที่เรียกว่าอทุกขมสุขเวทนา (บางทีก็เรียกว่าอุเบกขาเวทนา) อันการรับรู้ต่างๆนี้ยังขึ้นอยู่กับสัญญาความจำได้อีกด้วย เช่น รูปสัญญา ธัมมสัญญา ร่วมด้วย
จึงไม่ใช่อาการดั่งที่ เมื่อทานอะไรเข้าไปแล้วเกิดความคิดขึ้นในใจขึ้นมาว่า "อร่อย" เพราะความคิดว่า "อร่อย" นั้นเป็นการเกิดขึ้นของสังขารขันธ์แล้ว จึงยังให้เกิดเจตนาหรือสัญเจตนาทางใจหรือจิตตสังขาร(มโนกรรม)ขึ้นในใจว่าอร่อย หรือทางวาจาที่เปล่งออกมาดั่งเช่นว่า"อร่อยจัง" ก็เป็นสังขารขันธ์ แล้วยังให้เกิดเจตนาทางวาจาหรือวจีสังขารขึ้น หรืออาการน้ำลายสอเมื่อได้เห็นหรือได้กลิ่นอาหารอันถูกใจ อันเป็นสังขารขันธ์ แล้วยังให้เกิดเจตนาหรือความคิดอ่านทางกายหรือกายสังขารขึ้นคือน้ำลายสอ แท้จริงเวทนาจึงเป็นเพียงความรู้สึกจากการรับรู้รสในสิ่งที่ผัสสะ ซึ่งความรู้สึกรับรู้นี้ จำแนกเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา คือเป็นความรู้สึกที่เกิดจากจากการรับรู้ ตามหน้าที่ของเวทนาเท่านั้น จึงควบคุมบังคับไม่ได้ ด้วยเป็นอนัตตา สุขเวทนาและทุกขเวทนาจึงมีความแตกต่างจากความ สุขใจ ทุกข์ใจ อันเป็นสังขารขันธ์อันเป็นอาการของจิตหรืออารมณ์ในทางโลกที่ครอบคลุมจิตให้เกิดเจตนา ให้กระทำการต่างๆในชั่วระยะเวลาหนึ่งๆ ดังเช่น โกรธ หดหู่ สุขใจหรือความสุข ทุกข์ใจหรือความทุกข์ ฯลฯ. เช่นความโกรธ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมครอบคลุมจิตกินระยะเวลาหนึ่งๆ เกิดความโกรธไม่พอใจไปในเรื่องต่างๆนาๆได้ เหตุเพราะมีคำว่าสุข ว่าทุกข์ เหมือนกันจึงเกิดความสับสนกันไปบ้าง
ทั้งนี้เมื่อแยกแยะได้แจ่มชัด เมื่อเกิดเวทนาขึ้นจะได้รู้ว่า เพียงแค่หรือสักว่าเวทนา ที่พึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่ไปยึดถือด้วยตัณหาคือความอยากหรือความไม่อยากใดๆ เพราะย่อมยังให้เกิดอุปาทาน จึงกลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์
เวทนา เป็นกิจกรรมที่สามัญที่สุดของชีวิต แต่จำเป็นของชีวิตของทุกๆคน ที่เราต้องใช้ขณะดำเนินชีวิตอยู่ทุกๆขณะจิตในโลกนี้ คือดำเนินเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาที่ยังอาศัยโลกนี้อยู่ คือ การรับรู้อารมณ์(สิ่งที่กำหนดหรือกระทบ)ต่างๆ หรือการรับรู้ในสิ่งที่ผัสสะต่างๆ ผ่านทางทวารคือประตูในการสื่อสารของชีวิต คือทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายในทั้ง ๖) จึงมีอยู่อย่างเกิดดับๆๆ...อยู่ตลอดเวลา เมื่อรับรู้รสอารมณ์ต่างๆที่กระทบหรือผัสสะแล้ว ก็ย่อมเกิดความรู้สึก เช่น สุขสบายใจจากการสัมผัสหรือสุขเวทนา ทุกข์สัมผัสหรือทุกข์ระคายเคืองหรือทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขสัมผัส จากอทุกขมสุขเวทนาคือเฉยๆหรือเป็นกลางๆ จากการรับรู้ในรสอารมณ์นั้นๆร่วมด้วยเป็นธรรมดาของชีวิต โดยเฉพาะอทุกขมสุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนาเกิดขึ้นอยู่แทบทุกขณะจิตที่มีการผัสสะคือเมื่อมีการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายใน แต่เพียงเป็นความรู้สึกเป็นกลางหรือเฉยๆที่เกิดขึ้น จึงคิดหรือรู้สึกราวกับว่า ไม่มีเวทนาใดๆเกิดขึ้น
เวทนาเป็นสังขาร และเป็นนามธรรม รับรู้ได้ด้วยทั้งทางกายและทางใจ ไม่มีตัวไม่มีตนของตนเองอย่างแท้จริง จึงไม่ใช่อัตตา, ไม่ใช่ของตัวของตน เป็นอนัตตา จึงควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนา เป็นสังขารที่หมายถึงสังขตธรรมสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงย่อมเกิดแต่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยประชุมกันชั่วขณะหรือระยะหนึ่ง เหมือนดังเงา จึงเกิดผลขึ้นเป็นเวทนาได้ ดังแสดงในเรื่องขันธ์ ๕ และพระไตรลักษณ์ ตลอดจนปฏิจจสมุปบาท จึงมีสามัญญลักษณะเหมือนดังสังขารทั้งหลายทั้งปวง ที่มีความไม่เที่ยง จึงมีอาการแปรปรวนเป็นธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็คงทน คงสภาพอยู่ไม่ได้จึงต้องดับไปเป็นธรรมดา และเป็นอนัตตา ที่ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง ให้จับต้องควบคุมบังคับบัญชาได้ อยู่ในสภาวะเมื่อเหตุปัจจัยประชุมกันครบองค์ผัสสะ ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมหรือสภาวธรรมของผู้มีชีวิตที่จำต้องรับรู้ในสิ่งที่กระทบสัมผัส จะไปห้ามไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็นก็ไม่ได้ กล่าวคือ จึงเกิดเป็นสุขเวทนาบ้าง จึงเป็นทุกขเวทนาบ้าง จึงเป็นอทุกขมสุขเวทนาบ้าง อันย่อมเป็นไปตามธรรม หรือที่เรียกกันโดยทั่วๆไปว่า รับรู้ในรสชาดสิ่งที่ผัสสะว่าเป็นสุขสบายบ้าง ไม่สุขสบายบ้าง หรือเฉยๆบ้าง แล้วก็เสื่อม..ดับไป เกิดดับๆๆ.. อยู่เยี่ยงนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีตัวตนของมันเองอย่างแท้จริง จึงเป็นสิ่งที่ควรรู้ด้วยปัญญายิ่ง เพื่อให้เกิดนิพพิทา ไม่ไปยึดมั่นหมายมั่น กล่าวคือ ไม่ไปอยากด้วยภวตัณหาด้วยการละเสีย หรือไม่อยากให้เกิดขึ้นด้วยการละเสียซึ่งวิภวตัณหาในเวทนาเหล่านั้น ด้วยรู้ดีว่ามันต้องเกิดขึ้นเช่นนี้เองตามเหตุปัจจัย ควบคุมบังคับไม่ได้ ถ้าไม่ละตัณหาดังกล่าว ก็จักเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนูปาทานขันธ์ที่แสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายของเหล่าอุปาทานขันธ์ ๕ ใน ชราอย่างเป็นทุกข์ขึ้น
เวทนา-เสวยอารมณ์-ความรู้สึก ที่ย่อมต้องเกิดขึ้น เมื่อมีการรับรู้อารมณ์คือมีการผัสสะ ทุกครั้งทุกทีไปเป็นธรรมดา
จึงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา จะไม่ให้เกิดขึ้นย่อมเป็นไปไม่ได้เป็นธรรมดา ตราบที่ยังดำรงชีวิตหรือขันธ์อยู่
แต่ที่ทำให้เร่าร้อนเผาลนยิ่ง และพระองค์ท่านสอนให้ดับไปก็คือเวทนูปาทานขันธ์ และ สังขารูปาทานขันธ์
อันย่อมเกิดขึ้น เมื่อเวทนาหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น ไปประกอบด้วยอุปาทาน
อันเนื่องมาจากการเกิดตัณหาหรือสังขารขันธ์ทุกข์ขึ้น
อันเป็นการดำเนินวนเวียนเป็นไปตามวงจรปฎิจจสมุปบาทธรรม ฝ่ายสมุทยวาร
เดิมก็ได้กล่าวถึงเวทนาอย่างละเอียดพอสมควร ไว้แล้วทั้งในปฏิจจสมุปบาทและในขันธ์๕ แต่เนื่องจากเนื้อหาสาระมีเป็นจำนวนมากในธรรมทั้ง๒ จึงอาจพินิจพิจารณาจำแนกแตกธรรมได้ไม่แจ่มแจ้งชัดเจน เพราะเกิดการปะปนสับสนกับธรรมอื่นๆ จึงนำมาแจกแจงจำแนกแตกธรรมโดยละเอียดเป็นลำดับขั้นโดยเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง เนื่องเพราะมีความสำคัญในการเจริญธรรมหรือวิปัสสนาในพระศาสนา ทั้งในขันธ์ ๕ และปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างยิ่ง และแม้ในสติปัฏฐาน ๔ อันมีเวทนานุปัสสนา
ก็เนื่องจากเวทนาเป็นขันธ์ คือกองหรือส่วนอันเป็นทางแยกที่สำคัญยิ่ง ที่กระบวนธรรมของจิตหรือชีวิตจักดำเนินต่อไปแบบขันธ์ ๕ อันไม่เป็นทุกข์(อุปาทานทุกข์)มีเพียงสังขารขันธ์คืออารมณ์ทางโลกทั่วๆไป คือมีเพียงเวทนาเป็นไปตามธรรมแล้ว เกิดเป็นสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง หรืออทุกขมสุขเวทนาบ้าง เป็นธรรมดา หรือจักไปเป็นเหตุ อันเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารขันธ์ชนิดตัณหา จากเวทนานั้นๆขึ้น อันเป็นการดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปตามวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง๑. อันเป็นทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานจึงเป็นทุกข์อุปาทานที่เร่าร้อนเผาลน ดังภาพที่แสดงนี้ ณ องค์ธรรมเวทนา
|
สัญญาหมายรู้ สังขารขันธ์ [ทางกาย วาจา ใจ อันเป็นขันธ์๕ สภาวธรรมของชีวิต] ไม่เป็นอุปาทานทุกข์ แต่เสวยเวทนาเป็นไปตามธรรม |
โยนิโสมนสิการโดยแยบคายจะเข้าใจได้ว่า เวทนาจึงเป็นต้นเหตุ ที่หมายถึงเป็นเหตุปัจจัยโดยตรงๆที่สุดที่ยังให้เกิดการกระตุ้นเร้าการทำงานของตัณหาขึ้น หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เกิดตัณหาขึ้น ส่วนรูปที่สวยงามหรือน่าเกลียด เสียงที่ไพเราะหรือไม่ไพเราะ กลิ่นอันหอมหวลหรือเหม็น รสอันเอร็ดอร่อยหรือไม่อร่อย สัมผัสอันละมุนหรือเจ็บปวด ธรรมารมณ์(คิด)อันดีหรือชั่ว จึงต่างล้วนไม่ใช่เป็นเหตุปัจจัยโดยตรงๆที่ยังให้เกิดตัณหา ล้วนเป็นเพียงสังขารสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นเช่นกัน อันเป็นเหตุปัจจัยเบื้องต้น ที่ยังให้เกิดเวทนา ขึ้นเสียก่อน แล้วเวทนาจึงเป็นต้นเหตุโดยตรงที่ไปกระตุ้นเร้ายังให้เกิดการทำงานของตัณหาคืออกุศลสังขารขันธ์ทั้งหลาย อันร่วมด้วยกับสัญญาความจำอย่างหนึ่งคือสัญเจตนาที่เจือด้วยกิเลสคืออาสวะกิเลส
เวทนา ในทางพุทธศาสตร์แปลว่า การเสวยอารมณ์, เสวย ที่แปลว่า การกิน การรับประทาน การเสพ การเสพรส, ส่วน อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตไปยึดหมายหรือกำหนดในขณะนั้นๆ เช่น ไปยึดหรือกำหนดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส(โผฏฐัพพะ) หรือในธรรมมารมณ์ ใดๆในขณะนั้น ไม่ใช่ความหมายในภาษาไทยที่หมายถึง ความน่าสงสาร ความเจ็บปวด แต่อย่างใด.
เวทนา หรือการเสวยอารมณ์ จึงหมายถึง การเสพรสในสิ่งที่มากระทบสัมผัสหรือสิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยว(อารมณ์)ในขณะนั้นๆนั่นเอง ดังเช่นการเสพรสในอาหาร อันเมื่อมีการเสพแล้ว จึงย่อมต้องมีความรู้สึกจากการการรับรู้ในรสชาดในสิ่งที่เสพนั้นๆ อันเป็นไปตามธรรม(ธรรมชาติ)คือสภาวธรรมของชีวิตนั่นเอง อีทั้งพรั่งพร้อมจดจำได้(สัญญา)ในรสชาด ของสิ่งที่เสพนั้นด้วยเป็นธรรมดา เหมือนดังการเสพเสวยอาหาร ก็ย่อมรู้รสชาดของอาหารนั้นๆ และย่อมจดจำได้โดยตรงหรืออาจคุ้นเคยในรสชาดของอาหารนั้นๆด้วยเป็นธรรมดา ดังนั้นเวทนาจึงหมายถึง ความรู้สึกจากการรับรู้ในรสชาดของอารมณ์หรือสิ่งนั้นๆ ที่เกิดขึ้นจากการกระทบสัมผัสนั้นๆ อันพรั่งพร้อมด้วยสัญญาความจดจำได้อยู่ในที เป็นสภาวธรรมของชีวิต จะไปห้ามไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น ก็ไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา,ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง จึงควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้, เป็นสิ่งหรือธรรมที่อยู่คู่กับชีวิต เป็นหนึ่งในขันธ์ ๕ หรือชีวิต ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆ เพียงแต่บางครั้งเป็นไปอย่างแผ่วเบาหรือด้วยความเคยชินอย่างยิ่งยวด จึงสังเกตุไม่เห็นด้วยอาการธรรมดา ในนักปฏิบัติจึงควรทำความเข้าใจในเวทนาโดยละเอียดและถูกต้อง ก็เพื่อป้องกันการปฏิบัติออกไปนอกลู่ผิดทางแบบผิดๆด้วยอวิชชา ดังเช่น ไปคิดว่าดับเวทนาได้ จึงปฏิบัติแบบพยายามไปดับที่เวทนาเสียโดยตรงๆกล่าวคือไปพยายามปฏิบัติไม่ให้เกิดเวทนาขึ้นนั่นเอง พยายามไปในลักษณาการที่จะดับเวทนาให้ดับสูญไปจริงๆตามคำพูดที่ใช้สื่อกันตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหล่าทุกขเวทนา
เวทนา จึงมีความหมายว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้น จากการรับรู้จากการผัสสะกับอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ในสิ่งต่างๆนั่นเอง อันเป็นสภาวธรรมที่ติดตัวมากับชีวิต ตราบจนสิ้นขันธ์คือชีวิต
พระองค์ท่านทรงแยกรสชาดของเหล่าเวทนาออกเป็น เวทนา ๓ อันมี สุขเวทนา๑ ทุกขเวทนา๑ อทุกขมสุขเวทนา๑ ในยุคต่อๆมาอรรถกถาจารย์บางท่านจำแนกแยกละเอียดเป็นเวทนา ๕ ก็มี กล่าวคือ แยกสุขเวทนาเป็นสุขทางกาย และสุขทางใจ(โสมนัส) ส่วนทุกขเวทนาแยกเป็นทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจ(โทมนัส) จึงกลายเป็น ๕ ก็มี
กระบวนธรรมของการปรุงแต่งของเหตุปัจจัยต่างๆ จึงมีการเกิดของเวทนา ขึ้นครั้งหนึ่งๆนั้น พอจะแสดงเป็นลำดับได้ดังนี้
ดังตัวอย่างของ กระบวนธรรมการทำงานของขันธ์ ๕ ที่เป็นเหตุปัจจัยหรือเป็นองค์ประกอบของชีวิต และย่อมมีการทำงานที่เนื่องสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นอีกด้วย ซึ่งย่อมยังให้เกิดเวทนาเป็นไปโดยธรรม(ธรรมชาติ) อันย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีชีวิตทุกๆคน หรือกล่าวคือโดยธรรมชาติ โดยอาศัยทวารคืออายตนะภายในต่างๆ ดังเช่น ตา
เมื่อ ตา มองเห็น หรือไปกระทบกับ รูป
เขียนเป็นกระบวนธรรม เหมือนดั่งกระบวนการหรือสมการที่เขียนในวิชาเคมีทางโลกๆ เพื่อยังประโยชน์ในการโยนิโสมนสิการพิจารณาได้ง่าย ก็เพื่อให้ เห็นการเกิดขึ้นและความเป็นไปตามหลักเหตุและผลหรืออิทัปปัจจยตาอย่างแจ่มชัด จึงขอเริ่มตั้งแต่ต้นกระบวนธรรม กล่าวคือ ตั้งแต่เมื่อตาไปกระทบรูป นำมาเขียน เป็นกระบวนธรรมโดยย่อพอสังเขปได้ดังนี้
แล้วย่อมดำเนินไปตามธรรม หรือธรรมชาตินั่นเอง ที่ต้องเป็นเช่นนี้เอง ไม่เป็นอื่น คือย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด จักขุวิญญาณ อันคือระบบประสาทสัมผัส เพื่อการรับรู้ของจักขุหรือตา อันเกิดขึ้นจากการกระทบกับรูปของตา อันย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของผู้มีชีวิต หมายถึงธรรมชาติของชีวิตนั่นเอง ผู้ที่ตากระทบรูปแล้ว จักไม่เกิดจักขุวิญญาณ มีแต่ผู้ที่ตายแล้วเท่านั้นเป็นธรรมดา หรือผู้ที่สูญเสียทวารตาเท่านั้น เราไปควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ ด้วยล้วนเป็นอนัตตาจึงไม่ขึ้นอยู่กับเรา แต่ขึ้นหรือเป็นไปตามเหตุที่มาเป็นปัจจัยกัน, ถ้าพิจารณากันในทางพุทธศาสตร์ก็เนื่องจากความเป็นอนัตตา ล้วนไม่มีตัวตนแท้จริง จึงล้วนไม่ใช่เราหรือของเราอย่างแท้จริง จึงไปควบคุมบังคับให้ว่าเมื่อผัสสะแล้วจะให้เห็นหรือไม่เห็นไม่ได้ แต่ต้องเป็นไปตามธรรมคือตามเหตุปัจจัย
จึงแสดงเป็นกระบวนธรรมได้ดังนี้
ตา
รูป
ทั้ง๒เป็นเหตุ มาเป็นปัจจัยกันในขณะนั้น
จึงมี จักขุวิญญาณ
เกิดขึ้น
แสดงเป็นกระบวนธรรมของจิตหรือชีวิตโดยย่อได้ดังนี้
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
การประจวบกันของเหตุปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้นนี้ คือ อายตนะภายนอก(รูป) กระทบกับ อายตนะภายใน(ตา) แล้วเกิด วิญญาณ(จักขุวิญญาณ)ขึ้น พระองค์ท่านทรงเรียกอาการครบองค์ประกอบของเหตุปัจจัยทั้ง ๓ ที่มาประจวบกันดังนี้ว่า ผัสสะ เป็นอาการหรือลักษณาการโดยธรรมชาติของชีวิต จะไปห้ามไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น ก็ไม่ได้ กล่าวคือ ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ด้วยเป็นอนัตตา เขียนเป็นกระบวนธรรมให้เห็นความต่อเนื่องสัมพันธ์กันได้อย่างง่ายๆ สืบต่อมาได้ดังนี้
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
กล่าวคือ เมื่อเหตุปัจจัยทั้ง๓ เกิดร่วมกระทบกันแล้ว ก็คือเกิดการผัสสะขึ้นเป็นธรรมดา [ด้วยเหตุดังนี้ เมื่อไม่สำรวม สังวร ระวัง หรือแม้แต่เพราะยังมีหน้าที่ที่พึงกระทำอยู่ก็ตาม เพราะย่อมต้องเกิดการผัสสะทุกครั้งทุกทีไปตามธรรมคือธรรมชาติ] อันมีพุทธพจน์ที่ตรัสยืนยันไว้ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยจักษุ(ตา)และรูป (ย่อมต้อง)เกิดจักษุวิญญาณ ความประจวบกันของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ
(กล่าวเหมือนกันในอายตนะหรือทวารทั้ง ๖)
(ม.อุ. ๑๔/๘๒๓/๔๙๓)
เมื่อเกิดการผัสสะดังกล่าวแล้ว ย่อมดำเนินต่อไปตามธรรมหรือกระบวนธรรมของชีวิต หรือการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ ต่อสืบเนื่องไป จะหยุด จะห้ามเสียก็ไม่ได้ อุปมาดั่งสารเคมีสองชนิดที่มีปฏิกริยาต่อกันโดยธรรม(ธรรมชาติ) ซึ่งเมื่อกระทบสัมผัสกันแล้ว จะไปห้ามไม่ให้เกิดปฏิกริยาต่อกันและกัน ย่อมไม่ได้ ด้วยเป็นอนัตตา, ดังนั้น จึงย่อมต้องเกิดกระบวนธรรมของจิตสืบเนื่องต่อไป คือเกิดการจำได้และเข้าใจในสิ่งที่เห็นนั้น อันเป็นสิ่งที่เรียกทางพุทธศาตร์ว่าสัญญา อันพึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของชีวิต อันเกิดแต่สัญญาที่สั่งสมมาแต่อดีตเก่าก่อนนั่นเอง จึงยังให้กระบวนธรรมของจิตหรือชีวิตต้องดำเนินสืบต่อไป เขียนเป็นกระบวนธรรมแสดงความต่อเนื่องได้ดังนี้
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำได้และเข้าใจ)
ในบางครั้ง บางที อาจไม่แสดงสัญญา(ความจำได้และเข้าใจ)เหล่านี้ในกระบวนธรรม เช่น เมื่อกล่าวในปฏิจจสมุปบาท เหตุเพราะสัญญานี้มีอยู่แล้ว เพียงแต่แฝงอยู่ในรูปของอาสวะกิเลสคือสัญญาเจือกิเลสนั่นเอง หรือในบางครั้งเขียนเพื่อแสดงขันธ์ทั้ง ๕ ให้ครบบริบูรณ์เท่านั้น จึงเพียงแสดงสัญญาหมายรู้ที่เกิดขึ้นต่อจากเวทนาเพียงครั้งเดียวอย่างรวบรัด อย่างย่อย่นก็มี โดยผู้รู้จะรู้เป็นนัยอยู่แล้วว่า ย่อมมีสัญญาอันเป็นขันธ์ของชีวิตเกิดขึ้น แต่ครานี้เป็นการแสดงโดยละเอียดเพื่อการโยนิโสมนสิการให้เข้าใจเวทนาได้แจ่มแจ้ง จึงแสดงสัญญาที่เกิดขึ้นและเป็นไปในกระบวนธรรมขันธ์๕ ที่จริงๆแล้วซับซ้อนเกิดสัญญาขึ้นหลายครั้งหลายคราในกระบวนจิตหนึ่งๆ ดังเช่นที่แสดงไว้ในเรื่องขันธ์ ๕ หรือในเรื่องรายละเอียดของขันธ์ ๕ มิได้มีความขัดแย้งกันใดๆทั้งสิ้นในเรื่องขันธ์ ๕และปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่อาจมีการสลับตำแหน่งของกระบวนจิตกันบ้างก็เพื่อการอธิบายในแต่ละเรื่องแต่ละกิจ แต่นัยยะล้วนเป็นไปเฉกเช่นดียวกัน ถ้าอ่านแล้วมีความรู้สึกว่าขัดแย้งกัน ขอให้ทบทวนพิจารณาโดยละเอียดอีกหลายๆครั้ง เพราะแสดงถึงความยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งเป็นเหตุนั่นเอง
เหตุที่ต้องมีสัญญานั้นก็คือ เกิดสัญญาความจำได้และเข้าใจในรูปขึ้นเสียก่อนตามที่สั่งสมไว้แล้วนั่นเอง ลองพิจารณาดูดังนี้ ในผู้ป่วยที่สมองอันเป็นหทัยวัตถุไม่ทำงานตามปกติ เมื่อตากระทบรูป เนื่องจากยังมีชีวิตอยู่ ย่อมเกิดจักขุวิญญาณเป็นธรรมดา แต่สมองหรือหทัยวัตถุส่วนสัญญานั้นไม่ทำงาน หรือก็คือขันธ์ ๕ ไม่บริบูรณ์เสียแล้ว เขาเหล่านั้นจึงย่อมรับรู้รสชาดของเวทนาอย่างไม่สมบูรณ์ถูกต้อง
ดังนั้นนอกจากรสชาดโดยธรรมชาติของสิ่งที่มาผัสสะแล้ว สัญญาจำได้ในรูปหรือสิ่งที่ผัสสะอันสั่งสมไว้อยู่แล้วใดๆ ก็ย่อมส่งผลเป็นปัจจัยถึงเวทนาอีกด้วย ดังเช่น อาสวะกิเลส อันคือสัญญาเจือกิเลสนั่นเอง
เมื่อกระบวนธรรมดำเนินมาถึง ณ ที่นี้นี่เอง คือจำได้และเข้าใจในรูปนั้น จึงเกิดเป็นเวทนาต่างๆขึ้น ที่เนื่องสัมพันธ์กับสัญญาความจำได้และเข้าใจที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของชีวิต
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
หรือจะเขียนสมการธรรม ให้อยู่ในรูปใกล้เคียงกับปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงอาสวะกิเลสอันเป็นสัญญาความจำอย่างหนึ่งขึ้นก่อน ดังกล่างข้างต้น ดังต่อไปนี้ก็ได้ เพียงขอแต่ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะสัญญานั้นจริงๆแล้วก็อยู่ในสภาพนอนเนื่องดุจดั่งอาสวะกิเลสเช่นกัน เมื่อเกิดการผัสสะ จึงเกิดการเข้าร่วมหรือทำงานขึ้น ยังให้มีอิทธิพลหรือเป็นเหตุคือองค์ประกอบหนึ่งของเวทนา
[สัญญา(ความจำได้)
]
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
เวทนา
หรือแสดงโดยละเอียด ดังนี้
[สัญญา(ความจำ)แต่นอนเนื่องอยู่
] ดังนั้นเมื่อ
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำและเข้าใจในรูป
จึงทำงานขึ้น)
เวทนา
อันผู้เขียน ย่อลงอยู่ในรูปแบบด้านล่างนี้ เมื่อกล่าวถึงในรูปแบบของขันธ์ ๕
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
เมื่อมีสัญญาความจำในรสชาดของรูปนั้นที่เคยเกิดขึ้นแต่อดีต เป็นไปอย่างไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่สบายใจ ก็ย่อมส่งผลให้เกิดเวทนาหรือความรู้สึกรับรู้รสชาดในรูปนั้นเป็นไปอย่างไม่ถูกใจ ไม่สบายใจ หรือก็คือ เป็นความรู้สึกรับรู้ที่เกิดขึ้นจากรูปเป็นไปในทางลบ ที่เรียกว่า ทุกขเวทนา หรือเรียกกันสั้นๆว่าทุกข์สัมผัสหรือทุกข์ก็ได้ อันเป็นไปตามสภาวะของสัญญาความจำที่มีต่อรูปนั้นนั่นเอง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสัญญาความจำได้ในรูป(อารมณ์)ย่อมร่วมมีอิทธิพลต่อ "เวทนา" การรับรู้ในรสชาดตามธรรมหรือธรรมชาติของรูป(อารมณ์)นั้นๆด้วย
ดังนั้นถ้าสัญญาความจำในรูปนั้นเป็นไปอย่าง ชอบใจ ถูกใจ หรือสบายใจ ในรูปนั้น ก็ย่อมยังให้เกิดเวทนาไปทางถูกใจ สบายใจ หรือทางบวก หรือก็คือ เป็นความรู้สึกรับรู้ที่เกิดขึ้นจากรูปเป็นไปในทางบวก ที่เรียกว่า สุขเวทนา หรือบางทีเรียกกันสั้นๆว่าสุขสัมผัสหรือสุข นั่นเอง
ถ้าสัญญาความจำในรูปนั้นเป็นไปอย่างเฉยๆ ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่มีความรู้สึกที่เด่นชัด ก็เรียกเวทนานี้ว่า อทุกขมสุขเวทนา นั่นเอง หรือที่บางคนแยกแยะไม่ออก บอกแต่ว่า เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอะไร นั่นแหละอทุกขมสุขหรืออุเบกขาเวทนา
ดังนั้นเมื่อมีการผัสสะเกิดขึ้น ย่อมต้องเกิดเวทนาอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น และที่ว่าผัสสะแล้ว แต่ไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอะไร นั่นแหละอทุกขมสุขเวทนา
กล่าวดังนี้แล้วอาจจักยังไม่แจ่มแจ้ง ลองพิจารณาดูดังนี้ ในหมู่คณะหลายคน ที่เห็นในรูปในสิ่งๆเดียวกัน เขาทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปตามกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ดังนี้ เหมือนกันล้วนสิ้น กล่าวคือ
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
แต่เวทนาที่เกิดขึ้นนั้น อาจผิดแผกแตกต่างกันไป บ้างก็เกิดสุขเวทนาต่อรูปนั้น กล่าวคือว่ารูปนั้นสวย บ้างก็เกิดทุกขเวทนาต่อรูปนั้น กล่าวคือว่ารูปนั้นไม่สวย บ้างก็เกิดอทุกขมสุขต่อรูปนั้น กล่าวคือรู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย
โยนิโสมนสิการว่า อะไร? เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความแตกต่างกัน ก็จะพบความจริงเป็นอย่างยิ่งว่าสัญญานั่นเอง อันเกิดแต่การสั่งสมมาแต่อดีตเป็นเหตุปัจจัยอันสำคัญยิ่งในการเสวยอารมณ์หรือเวทนา (อาสวะกิเลสอันเป็นสัญญาอย่างหนึ่งก็ดำเนินไปในลักษณาการเช่นนี้เอง) กล่าวคือ ต่างล้วนมีอายตนะภายใน(ตา)ที่ทำหน้าที่เหมือนกัน, ต่างล้วนมีอายตนะภายนอกใน(รูป)เป็นสิ่งเดียวกัน, ต่างย่อมล้วนเกิดจักขุวิญญาณขึ้นมาทําหน้าที่เดียวกัน ก็จะเห็นความสำคัญของสัญญาต่อรสชาดตามธรรมชาติแท้ๆของรูป(อารมณ์)ที่เห็นนั้น
ลองโยนิโสมนสิการในธรรมนี้
ในเด็กทารกที่ยังเล็กอยู่ กับผู้ใหญ่ที่รู้ความแล้ว เมื่อให้เงินทองหรือทรัพย์สินแก่บุคคลทั้งสอง ดังนั้น เมื่อตากระทบกับเงินที่ได้รับ ในทั้งสองคนกระบวนธรรมในการผัสสะต่างล้วนดำเนินไปเหมือนกันดังนี้
ตา
รูปคือเงิน
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
หรือเขียนขยายแสดงดังต่อไปนี้ แบบละเอียดและแยบคายขึ้นก็ได้
[สัญญา(ความจำได้ที่นอนเนื่อง)
]
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญาที่ถูกกระตุ้นเร้าให้เกิดการทำงาน
จึงจำได้
เวทนา
กระบวนธรรมในการผัสสะตั้งแต่ต้นของบุคคลทั้งสอง ดำเนินมาเหมือนกันทุกประการ กล่าวคือ มีตาที่ทำหน้าที่เหมือนกัน เห็นรูปคือเงินในสิ่งเดียวกัน ต่างล้วนเกิดจักขุวิญญาณขึ้นเหมือนกัน ย่อมครบองค์การผัสสะเกิดขึ้นเหมือนกัน จึงเป็นเหตุปัจจัยในขณะนั้นให้เกิดสัญญาความจำและเข้าใจในรูปที่กระทบหรือเห็น จึงมีความแตกต่างกันของเวทนาเกิดขึ้น
ฝ่ายทารก สัญญาความจำได้และความเข้าใจในเรื่องเงินนั้นยังไม่มีการสั่งสม ดังนั้น เมื่อทารกเห็นเงินจึงย่อมเกิดอทุกขมสุขเวทนา กล่าวคือรู้สึกเฉยๆต่อเงินที่เห็นนั้น กล่าวคือเป็นไปในทางเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นกลางแต่ด้วยความไม่รู้ ซึ่งอาจขว้างทิ้ง ฉีกทิ้งเอาเสียก็ได้
ฝ่ายผู้ใหญ่นั้น เมื่อตาไปกระทบกับเงินที่ได้รับ เขาย่อมเกิดสุขเวทนาขึ้น คือถูกใจ ชอบใจ เพราะมีสัญญา(ความจำและเข้าใจ)เป็นอย่างดีในเรื่องเงินนั้น อันสั่งสมมาแต่อดีตชาติ จึงย่อมเกิดความรู้สึกรับรู้ที่ถูกใจ ชอบใจคือสุขเวทนาต่อเงินที่ผัสสะนั้น
ในกระบวนธรรมข้างต้น ต่างเกิดขึ้นและดำเนินไปเหมือนกันทุกประการ แตกต่างอยู่ที่สัญญาเท่านั้นเอง จึงยังให้เกิดเวทนาที่แตกต่างกัน
ถ้ายังไม่แจ่มแจ้ง คิดไปว่ากระบวนธรรมดังกล่าวที่เวทนาแตกต่างกันเพราะต่างบุคคลกันเป็นเหตุ ก็ลองโยนิโสมนสิการในทารก ที่เมื่อตากระทบขวดนม เปรียบเทียบกับเมื่อตาของทารกคนเดียวกันไปกระทบสิ่งของที่สวยงามทั่วไป ที่ทารกไม่รู้จัก ยังไม่มีสัญญานั่นเอง
กระบวนธรรม(ธรรมชาติ)ของการเกิดเวทนาจึงเป็นไปดังนั้น ล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปเหมือนกันในอายตนะทั้ง ๖ หรือทวารทั้ง๖ ด้วยเหตุดังนี้เอง ถ้าโยนิโสมนสิการในพระไตรปิฎกแล้ว จักสังเกตุเห็นได้อย่างหนึ่งว่า เมื่อพระองค์ท่านกล่าวสอนถึง อายตนะหรือทวารใดๆแล้ว จักเห็นการกล่าวครบทั้ง ๖ เรียงไปเป็นลำดับตามมาจนครบ กล่าวคือ มีเจตนาเน้น แสดงถึงผลที่เกิดขึ้น ว่าเหมือนกัน ของกระบวนธรรมที่เกิดขึ้นจากการผัสสะของอายตนะทั้ง ๖ นั่นเอง ไม่ว่าการผัสสะนั้น จะเนื่องมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้แต่ใจก็ตาม ต่างก็ล้วนดำเนินและเกิดขึ้นและเป็นไปเหมือนกันนั่นเอง เป็นธรรมดา จึงมิใช่เป็นการกล่าวอย่างพรํ่าเพื่อให้เฝือแต่ประการใด แต่เป็นอุบายคือวิธีการเน้น โดยนัยว่า อายตนะทั้ง ๖ หรือทวารทั้ง ๖ นั้น ต่างทำงานเหมือนกันโดยนัยนั่นเอง จึงเน้นยํ้า กล่าวซํ้าถี่บ่อย เพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อให้สำรวม สังวร ระวังในทวารทั้ง ๖ ถ้วนหน้า อันล้วนเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ ดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า
ผู้ไม่ระวังผัสสะทั้งหก แม้ประตูหนึ่ง ย่อมประสพความทุกข์
ฉเฬว ผสฺสายตนานิ ภิกฺขเว อสํวุโต ยตฺถ ทุกฺขํ นิคจฺฉติ
(สังคัยหสูตร ๑๘/๗๖)
เหตุเพราะเมื่อมีการผัสสะ ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้นเป็นธรรมดา อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นนั่นเอง
เพราะล้วนเป็นอนัตตา จึงไม่ใช่เรา,ไม่ใช่ของเรา จึงล้วนเป็นไปตามธรรมคือตามเหตุปัจจัย
ดังนั้นพึงโยนิโสมนสิการในการผัสสะของอายตนะหรือทวารทั้ง ๖ ที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนาขึ้น โดยแยบคาย
ตา
รูป
จักขุวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
หู เสียง
โสตวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
จมูก กลิ่น
ฆานวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
ลิ้น
รส
ชิวหาวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
กาย โผฏฐัพพะ
กายวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
ใจ
คิด(ธรรมมารมณ์)
มโนวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
เมื่อโยนิโสมนสิการโดยแยบคาย ก็จะพบความจริงเป็นอย่างยิ่งว่า อายตนะทั้ง ๖ หรือทวารทั้ง ๖ นั้น เมื่อเกิดการผัสสะขึ้นแล้ว ย่อมดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปเหมือนกัน กล่าวคือยังให้เกิดเวทนาขึ้นเป็นธรรมดา ที่หมายความ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น เป็นสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง เพียงอาจแตกต่างกันที่ความแรงเข้มเด่นชัด หรือความเคยชินเท่านั้น และล้วนเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติในแนวทางเดียวกันทั้งสิ้น
จักเห็นสภาวธรรม หรือธรรมชาติของชีวิต ที่ต้องเป็นเช่นนี้เอง จึงดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปในทุกหมู่เหล่า แม้ในเหล่าพระอริยเจ้าก็เช่นกัน จึงมีการกล่าวอยู่เสมอๆในหมู่พระอริยเจ้าว่า เวทนานั้นใครๆก็หลีกหนีไปไม่พ้น เป็นธรรมชาติของผู้มีชีวิต หรือกล่าวได้ว่าเวทนาเป็นทุกข์ธรรมชาติ หรือทุกข์โดยสภาวธรรมชาติของชีวิตนั่นเอง (อย่าไปสับสนกับเวทนูปาทานขันธ์อันคือเวทนาเหมือนกันแต่ประกอบด้วยอุปาทานอันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ที่แสนเร่าร้อนเผาลน ที่เหล่าพระอริยเจ้าล้วนหลีกหนีห่างไกลชนิดตัดขาดจากกันไป)
กล่าวดังนี้ อาจยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ลองโยนิโสมนสิการในการผัสสะของกายดู อันเป็นตัวอย่างที่พิจารณาได้ง่าย แล้วค่อยดำเนินไปพิจารณาในอายตนะอื่นๆ โดยเฉพาะใจหรือจิต อันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนแปรปรวนเป็นที่สุด แต่ก็คงดำเนินไปในหลักธรรมเดียวกัน
ในการกระทบของกาย(โผฏฐัพพะ) เช่น การถูกตี หรือการถูกของร้อน ปวดท้อง ปวดหัว ฯลฯ.
กาย
ของพระอริยเจ้า โผฏฐัพพะ
กายวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
กาย
ของปุถุชน โผฏฐัพพะ
กายวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
โยนิโสมนสิการโดยวางใจเป็นกลาง วางความเชื่อ วางความยึด วางความเข้าใจต่างๆเดิมๆลงไปชั่วขณะ เพียงพิจารณาตามความเป็นจริงหรือเป็นไปของธรรม หรือตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ว่าเมื่อเกิดการโผฏฐัพพะดังกล่าวขึ้นแล้ว พระอริยเจ้าท่านจะมีความรู้สึกรับรู้หรือเวทนาตามความเป็นจริงแห่งธรรมแห่งการกระทบสัมผัสที่เกิดขึ้นหรือไม่? กล่าวคือ ท่านถูกของร้อน หรือถูกการกระทบทางกายแรงๆแล้ว เวทนาทางกายของท่าน? ไม่เจ็บ? ไม่มีความรู้สึกรับรู้? หรืออย่างไร? เมื่อไม่เกิดทุกขเวทนาแล้วจะมีสังขารขันธ์ทางกาย คืออาการสะดุ้งออก เพื่อการป้องกันตนเองไหม? แล้วเวทนาทางใจเล่า? ก็ชอบใจหรือ? ถูกใจ? สบายใจอย่างยิ่ง? หรืออย่างไร? หรือมีอะไรกระทบท่านก็ไม่รู้สึกรู้สามีแต่อทุกขมสุขเวทนาหรือไร? ดังนั้นถ้าวางใจเป็นกลางได้ วางความเชื่อ ความเข้าใจหรือทิฏฐิเดิมๆลงไป ดังนี้คือปฎิบัติบูชา นี้คือการโยนิโสมนสิการ แล้วพิจารณาตามความจริง ก็คงจะได้พบความจริงในสภาวะทุกข์ธรรมชาติของเวทนา ที่คงเกิด มี เป็น เช่นนั้นเองโดยธรรม(ธรรมชาติ)ของผู้มีชีวิต จึงเป็นไปและเกิดขึ้น ดังที่ท่าน หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้กล่าวสอนไว้ในเรื่องทุกข์
"...........เพราะสัมผัส(ก็คือผัสสะ - webmaster)มันมีอยู่ ประสาท(ก็คือ วิญญาณ ๖ - webmaster)มันยังไม่ทันดับยังไม่ทันตาย สิ่งทั้งหลายจะต้องมากระทบอยู่ตลอดเวลา จะหนีทุกข์พ้นที่ไหนได้ ไปไม่พ้นหรอก จึงว่าใครจะทิ้งทุกข์ก็ทิ้งไม่ได้ มีชีวิตอยู่ตราบใดก็ยังมีทุกข์อยู่ตราบนั้น พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน พระอริยสงฆ์สาวกก็เหมือนกัน ถึงแม้ท่านจะพิจารณาเห็นทุกข์แล้ว ทุกข์ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ท่านก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน แต่ว่าทุกข์มาแล้วไม่สามารถมารบกวนท่านได้ (กล่าวคือ ไม่สามารถยังให้เกิดเป็นทุกข์อุปาทานขึ้นได้ด้วยเวทนูปาทานขันธ์ - webmaster) ด้วยเหตุที่ท่านเห็นชัดตามเป็นจริงดังอธิบายมานั้น"
(จากเรื่อง"ทุกข์" โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
ทุกข์ก็ยังเหมือนเดิม ดังกล่าวของหลวงปู่เทสก์ข้างต้น จึงหมายถึง ทุกข์ธรรมชาติ อันคือ เหล่าทุกขเวทนานั่นเอง และยังย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เนื่องเกิดสังขารขันธ์คืออาการต่างๆของจิตหรืออารมณ์ เช่น โลภ โกรธ หลง หดหู่ ฟุ้งว่าน ทุกข์ใจ ฯ. อันเป็นทุกข์ธรรมชาติอีกเช่นกัน แต่ไม่ได้เกิดจากการรับรู้รสสัมผัสเหมือนเวทนา แต่เวทนาเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดสัญญาหมายรู้ต่างๆขึ้น จนเกิดเป็นสังขารขันธ์หรืออารมณ์หรืออาการของจิตต่างๆดังที่กล่าวขึ้น (กล่าวถึงสังขารขันธ์)
แต่ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ระหว่างพระอริยเจ้าและปุถุชน ก็คือ กระบวนธรรมที่ดำเนินต่อไปนั้นตามกระบวนธรรมของชีวิต อันมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ พระอริยเจ้าท่านดำเนินไปตามธรรมของขันธ์ ๕ ไม่ยังให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นอุปาทานทุกข์ จึงเป็นไปดังที่หลวงปู่กล่าวไว้ "แต่ว่าทุกข์มาแล้วไม่สามารถมารบกวนท่านได้" ส่วนปุถุชนนั้นก็มักดำเนินไปตามวงจรการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ปฏิจจสมุปบาทอันยังให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นอุปาทานทุกข์ในชราอันแสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายอยาก กล่าวคือ มักเกิดการทำงานของตัณหาขึ้นต่อเวทนาเหล่านั้น, ตลอดจนเวทนาของพระอริยเจ้านั้นท่านปราศจากกิเลสมาร้อยรัดเสียแล้ว ก็เนื่องจากอาสวะกิเลสของท่านถูกทำลายเสียด้วยวิชชาเสียแล้ว อาสวะกิเลสเหล่านั้นจึงเป็นเพียงสัญญาหรือความจำและความเข้าใจตลอดจนสัญญาหมายรู้อันดีงาม และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงขันธ์หรือชีวิตอย่างหนึ่ง ดังนั้นเวทนาของท่านจึงเป็นเวทนาที่ปราศจากอามิสหรือกิเลส เวทนาเหล่านั้นจึงเป็นเวทนาโดยธรรมชาติล้วนๆ ที่ยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติเท่านั้นเอง ดังนั้นในส่วนของเวทนาทางใจของท่าน เช่น ทุกขเวทนาแม้ยังคงมีอยู่ แต่แตกต่างจากปุถุชนเนื่องจากการขาดเสียซึ่งอาสวะกิเลสหรือกิเลสนั่นเอง เป็นแต่ทุกขเวทนาทางใจตามธรรมหรือธรรมชาติเท่านั้น และไม่ไหลเลื่อนต่อเนื่องไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทจนเกิดเวทนูปาทานขันธ์(เวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน)ในอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ในชราอย่างแน่นอน และเมื่อเกิดสังขารขันธ์อันเป็นทุกข์ เช่น โทสะ โมหะ โลภะ ขึ้น ท่านก็ปล่อยวางเสีย คือแม้ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ท่านก็ไม่ยึดถือ คือปล่อยวางเสียด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง สังขารขันธ์ทุกข์เหล่านั้นย่อยคลายดับไป เป็นไปดังที่มีคำกล่าวของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล คือ มีคนเรียนถามท่านว่า "ท่านยังมี โกรธ อยู่ไหม" ท่านตอบตามความสัจจริงว่า "มี แต่ไม่เอา" นั่นเอง
กลับมากล่าวกันเรื่องเวทนาต่อ ดังนั้นจะเห็น(หมายถึงเข้าใจ)ความเป็นทุกข์โดยธรรมชาติของเวทนา อันเป็นไปตามสภาวธรรมของชีวิตนั่นเอง จึงต้องมีความเข้าใจและสติระลึกรู้เท่าทันในเวทนา แทนการปฏิบัติแบบพยายามดับหรือกดข่มเวทนาชนิด ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้มี ไม่อยากให้เป็น จึงจักถูกต้องดีงาม
เนื่องด้วยไม่เข้าใจเวทนาอย่างแจ่มแจ้ง ว่าเป็นทุกข์ธรรมชาติ อันเกิดแต่เหตุมาเป็นปัจจัยดังกล่าวไว้ข้างต้น ไม่ใช่อุปาทานทุกข์ที่เร่าร้อนเผาลนที่สมควรดับให้สนิทเป็นอย่างยิ่งนั้น ดังนั้นเมื่อเกิดทุกขเวทนาใดๆมารุมเร้าแล้ว โดยวิสัยปุถุชนที่สั่งสมมาไม่รู้ว่านานมาสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น ที่ตามธรรมชาติแล้วชอบความสุข ไม่ชอบความทุกข์ ก็ย่อมพยายามที่จะไปดับทุกขเวทนาเหล่านั้นไปตรงๆดื้อๆ ที่หมายความว่าจะไม่ให้เกิดผลขึ้น คือไม่อยากให้มีความรู้สึกรับรู้ต่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ดับเวทนาจึงควรหมายถึงภาษาพูดทางธรรม ที่หมายถึง ทำให้ไม่ทำงานต่อเนื่องไปจนเกิดผลเป็นความทุกข์ขึ้นโดยอาศัยสติและปัญญา ไม่ใช่การดับเวทนาที่เกิดขึ้นให้ดับสูญ ทำให้หายสูญไปตามความหมายทางโลกๆ จึงไม่ใช่การดับชนิดจะไม่ให้รู้สึกรู้สาใดๆ ดังเช่นสภาวะที่อยู่ในฌานสมาธิ อันเป็นการกดข่มไว้ชั่วขณะเท่านั้น อันเป็นวิกขัมภนนิโรธ, ส่วนถ้าเวทนานั้นเป็นสุขเวทนาก็เพลิดเพลิน ยึดติดยึดถือ อยากให้คงอยู่และอยากให้เป็นไป ถ้าเป็นอทุกขมสุขอันมักแผ่วเบาก็มักประมาท และไม่รู้ตัว จึงปล่อยตัวปล่อยใจไปคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านออกไปภายนอกคือต่อสิ่งภายนอกต่างๆจนในที่สุดเกิดเวทนาที่ก่อเป็นอุปาทานทุกข์ขึ้นในที่สุดเช่นกัน
เวทนาที่เกิดขึ้นเหล่านั้น จึงล้วนเกิดแต่เหตุมาเป็นปัจจัยกันจึงยังเป็นผลขึ้น อันเป็นไปตามเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ) อันเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง ดังนั้นการที่เมื่อเกิดทุกขเวทนาแล้วพยายามดับไม่ให้มีความรู้สึก อยากให้รู้สึกเฉยๆ หรือไม่อยากรับรู้ทุกข์ธรรมชาติ อันล้วนเป็นตัณหา จึงย่อมดำเนินและเป็นไปตามวงจรของทุกข์ปฏิจจสมุปบาทโดยอวิชชา ดังนั้นการปฏิบัติใดๆที่พยายามดับเวทนาไปตรงๆเหล่านั้น จึงล้วนเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะย่อมไม่สามารถกระทำได้อย่างตรงๆดื้อๆต่อสภาวธรรมชาติในการรับรู้ของชีวิต ที่ไม่ว่าอย่างไรก็คงเกิดขึ้น เพราะผู้ที่ไม่รับรู้ผลของเวทนาอย่างถาวรมีเพียง ผู้ที่ถึงกาละหรือตายแล้วเท่านั้น และในผู้ที่เข้าถึงนิโรธสมาบัติอันเป็นอรูปฌาน ที่ ๙ ของฝ่ายพระพุทธศาสนาเท่านั้น อันเกิดขึ้นและเป็นไปเฉพาะขณะที่เจริญอยู่ในนิโรธสมาบัติเท่านั้น และอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่รับรู้เวทนาเนื่องจากการไม่เสวยอารมณ์ของทวารทั้ง๖ ชั่วขณะหนึ่งด้วยอำนาจของภวังคจิตในฌาน (แต่เวทนาของจิตภายในก็ยังมีอยู่ คือ รู้อยู่ในความสงบ หรือเวทนาที่เกิดจากการปรุงแต่งภายในจิตเอง) แต่ก็เป็นไปเพียงชั่วขณะระยะหนึ่งเท่านั้นเอง, แม้แต่ในผู้ที่รู้เข้าใจเวทนาแล้ว ก็ยังมักพลาดท่าไปปรุงแต่งด้วยตัณหา เนื่องเพราะความเคยชินที่ได้สั่งสมมาอย่างแนบแน่นยาวนานตั้งแต่รู้ความแล้วนั่นเอง ด้วยเหตุดังนี้เมื่อรู้เข้าใจด้วยปัญญาแล้ว ยังต้องสั่งสมอบรมสติให้ระลึกรู้เท่าทันต่อไปอีกด้วย ด้วยเหตุดังนี้จึงทรงบัญญัติ เวทนานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ ก็เพื่อเป็นเครื่องสนับสนุนปัญญานั่นเอง กล่าวคือ เมื่อเกิดสัมมาปัญญาในเวทนาแล้ว จึงกำหนดสติให้ระลึกรู้เท่าทันในเวทนานั้นได้อย่างถูกต้อง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในเวทนานั้นๆ หรือปล่อยวาง หรืออุเบกขาในโพชฌงค์นั่นเอง อันเป็นองค์ที่ควรดำเนินปฏิบัติต่อจากสติปัฎฐาน ๔ กล่าวคือ สติปัฏฐาน๔ เป็นเหตุปัจจัยสนับสนุนให้เจริญใน โพชฌงค์ ๗ ที่ยังให้มีวิชชาและวิมุติบริบูรณ์
เวทนาอันเป็นเป็นสังขารอย่างหนึ่ง อันเป็นผลที่เกิดขึ้นของเหตุอันมาเป็นปัจจัยกันดังกล่าวข้างต้น คือ
ใจ
คิด(ธรรมารมณ์)
มโนวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำ)
เวทนา
(กล่าวคือ
ใจ กระทบ ความคิดหรือธรรมารมณ์
เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด
มโนวิญญาณ ขึ้นเป็นธรรมดาหรือธรรมชาติของชีวิต
และการประจวบกันของเหตุปัจจัยทั้ง ๓ คือการเกิดการ
ผัสสะ
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด
สัญญาความจำได้และหมายรู้
ในธรรมมารมณ์หรือความคิดนั้นขึ้นเป็นธรรมดา
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด
เวทนาความรู้สึกต่างๆขึ้น
คือเป็นสุข, ทุกข์, ไม่สุขไม่ทุกข์คือเฉยๆ ย่อมต้องเกิดขึ้น
อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นเป็นธรรมดา)
ดังในกรณีนี้ เกิดแต่เหตุอันมี ใจ(อายตนะภายใน)๑. คิดหรือธรรมารมณ์(อายตนะภายนอก)๑. มโนวิญญาณ(วิญญาณ๖)๑. สัญญา๑. มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันจนยังผลให้เกิดเวทนาขึ้น ดังนั้นเวทนาจึงเป็นสังขารที่หมายถึงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างหนึ่ง เกิดแต่เหตุปัจจัยต่างๆจึงเกิดขึ้น มิได้มีตัวมีตนหรือเป็นชิ้นหนึ่งชิ้นเดียวกันอย่างแท้จริงจึงมีความไม่สมบูรณ์ในตัวเองซ่อนเร้นอยู่ จึงย่อมอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังคงทนอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนแท้จริง จึงไม่ใช่ของตัวของตนอย่างแท้จริงอีกเช่นกัน จึงควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้อย่างแท้จริง ดังเช่น เจ้าจงอย่าได้เกิดขึ้นเลยเจ้าทุกขเวทนา เจ้าจงอย่าได้ดับไปเลยเจ้าสุขเวทนา ขอให้เจ้าสุขเวทนาจงอยู่นานๆ เมื่อบังคับบัญชาไม่ได้ ดังนั้นเมื่อไปอยากด้วยภวตัณหา หรือไม่อยากด้วยวิภวตัณหา จึงไปยึดด้วยอุปาทาน จึงเป็นทุกข์ในที่สุด เพราะย่อมเป็นไปตามสภาวธรรมของสังขารในที่สุดคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ลองโยนิโสมนสิการในกระบวนธรรมนี้โดยละเอียด จะเห็นว่าสัญญาเป็นเหตุปัจจัยอันสำคัญยิ่ง ดังนั้นจึงต้องสั่งสมสัญญาหรือปัญญาที่ถูกต้องดีงามเข้าไปแทนนั่นเอง จึงเป็นไปเพื่อการดับทุกข์อย่างถาวร อันพึงเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติอย่างถูกต้องดีงามเท่านั้น
เหตุที่ควรทำความเข้าใจในสัญญาที่เป็นเหตุปัจจัยร่วมกับเวทนา เพราะในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั้นแสดงให้เห็นว่า เวทนาที่เกิดขึ้นล้วนแฝงด้วยสัญญาอันคืออาสวะกิเลสนั่นเอง หรือเวทนามีอามิสนั่นเอง
เวทนาในขันธ์ ๕ เป็นเวทนาหรือความรู้สึกรับรู้ หรือเสวยอารมณ์ หรือเสพในรสชาดของสิ่งที่ผัสสะนั้น พร้อมทั้งเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับสัญญาความจำ
ส่วนในวงจรการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ปฏิจจสมุปบาทนั้น เวทนาเหล่านั้นล้วนเป็นเวทนามีอามิส(กิเลส) กล่าวคือ เสวยอารมณ์อันย่อมพร้อมประกอบด้วย หรือเป็นเหตุปัจจัยร่วมด้วยอาสวะกิเลสที่ผุดขึ้นร่วมเป็นสังขาร (กล่าวคืออาสวะกิเลสเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชา จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มีสังขาร อันเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทธรรม) จึงเป็นสังขารที่ประกอบด้วยกิเลสแล้วนั่นเอง เวทนาที่เกิดขึ้นจึงมีกำลังของกิเลสแฝงอยู่ ที่ท่านเรียกว่า เวทนามีอามิส (มีกล่าวในเวทนานุปัสสนาใน สติปัฏฐาน ๔) จึงเกิดเป็นความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ คือ สุขเวทนา หรือทุกขเวทนาที่มีความรู้สึกเร่าร้อนมีกำลังแรงของกิเลสแฝงอยู่ จึงไม่เหมือนเวทนาในขันธ์ ๕ ที่เป็นเวทนาเป็นไปตามธรรม(ธรรมชาติ)กว่า
ดังนั้นแม้ทุกขเวทนา อันเป็นทุกข์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง จึงยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรม(ธรรมชาติ)ดังข้างต้น เป็นธรรมดา แต่โดยธรรมชาติที่เมื่อยังไม่มีตัณหาอุปาทาน แม้เป็นทุกข์ แต่ไม่ประกอบด้วยเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายดังไฟนรกด้วยอำนาจของอุปาทาน, และอยู่ใต้พระไตรลักษณ์ดังกล่าวที่ต้องดับไป คงทนอยู่ไม่ได้เช่นกัน
สุขเวทนาก็เช่นกัน แม้เป็นสุขธรรมชาติอย่างหนึ่ง จึงยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรม(ธรรมชาติ)ดังข้างต้น เป็นธรรมดา แต่โดยธรรมชาติที่เมื่อยังไม่มีตัณหาอุปาทาน แม้เป็นสุข แต่ก็ไม่อยากได้อยากเป็นจนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายดังไฟสุมทรวง, และอยู่ใต้พระไตรลักษณ์เช่นทุกขเวทนาเช่นกัน
มีพุทธพจน์ตรัสไว้เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเวทนาที่เกิดขึ้นไว้ในฉฉักกสูตรดังนี้ว่า
[๘๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยจักษุ(ตา) และรูป เกิดจักษุวิญญาณ ความประจวบกันของธรรมทั้ง๓เป็นผัสสะ และเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์(เวทนา) เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง
(อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดาตามสภาวธรรมของชีวิต และเป็นอนัตตา)
เขา(บุคคล)อันสุขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจ จึงไม่มีราคานุสัยนอนเนื่องอยู่
(กล่าวคือ สติรู้เท่าทัน อีกทั้งปัญญาพละว่า สักว่าเวทนา ต้องเกิดและเป็นไปเช่นนี้เองตามธรรมชาติ และหยุดการฟุ้งซ่านปรุงแต่งหรือการอุเบกขา ก็เพื่อไม่ให้เกิดการผัสสะวนเวียนขึ้นอีกเป็นวงจรนั่นเอง)
อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่(รำพันว่า)ลำบาก ไม่ร่ำไห้ ไม่คร่ำครวญทุ่มอก ไม่ถึงความหลงพร้อม จึงไม่มีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่
(โมหะ เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงหลงไปไม่อยากให้เกิดทุกขเวทนาด้วยวิภวตัณหา ด้วยหลงไม่รู้ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา) จึงสักว่าเวทนา แล้วอุเบกขานั่นเอง)
อันอทุกขมสุขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมทราบชัดความตั้งขึ้น(เกิดขึ้น) ความดับไป คุณ โทษ และที่สลัดออกแห่งเวทนานั้น ตามความเป็นจริง จึงไม่มีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่
(เพราะเห็นชอบ จึงไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งต่อ หรือการอุเบกขาเสียนั่นเอง)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลนั้นละราคานุสัยเพราะสุขเวทนาบรรเทา, ละปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนาบรรเทา, ถอนอวิชชานุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา, (และ)ยังวิชชาให้เกิดขึ้นเพราะละอวิชชาเสียได้ แล้วจักเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ ฯ
ข้อความเดียวกันใน เสียง-หู, กลิ่น-จมูก, รส-ลิ้น, สัมผัส-กาย, ธรรมารมณ์(คิดนึก)-ใจ
(ฉฉักกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๔/๘๒๓)
เมื่อปฏิบัติได้ดังนี้ เวทนานั้นย่อมไม่เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้น
แล้วทุกข์อุปาทานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร!
ดังนั้นการปฏิบัติต่อเวทนาทั้งหลายอย่างถูกต้องและชำนาญอย่างยิ่งยวดจนเป็นมหาสติ จึงเป็นผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์เช่นกัน อันพอกล่าวสรุปการปฏิบัติในแนวทางเวทนาได้ดังนี้
หมั่นพิจารณาในเวทนาอยู่เนืองๆ เพื่อให้เกิดนิพพิทาญาณในเวทนา เพราะเมื่อหน่าย ย่อมปล่อยวางด้วยคลายกำหนัดหรือดับตัณหานั่นเอง อันเป็นการตัดทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ๑.
มีปัญญาเข้าใจเวทนาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงเสียก่อน มิฉนั้นจะปฏิบัติไปแบบผิดๆคือพยายามดับเวทนาให้สูญ และการไม่ยอมรับรู้ตามความเป็นจริงตามสภาวธรรมของเวทนา ว่าเป็นสังขารอยู่ภายใต้อำนาจพระไตรลักษณ์ และยังคงต้องเกิด ต้องมี ต้องเป็นเช่นนั้นเอง เป็นสุขเวทนาบ้าง เป็นทุกขเวทนาบ้าง เป็นอทุกขสุขเวทนาบ้าง อันเป็นทุกข์ธรรมชาติที่คงต้องเกิด มี เป็น เช่นนั้นเป็นธรรมดา และย่อมควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ด้วยเป็นอนัตตา แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย, มิฉนั้นจะไปอยากหรือไปยึด ด้วยการผลักไส ดิ้นรน จนเป็นวิภวตัณหา หรือไปติดเพลินด้วยตัณหา ๑.
และฝึกสติให้ระลึกรู้เท่าทันเวทนา(เวทนานุปัสสนา) ๑.
แล้วไม่ไปยึดมั่นหมายมั่นในเวทนา หรือการปล่อยวางในตัณหา หรือการอุเบกขาในโพชฌงค์นั่นเอง ๑.
เมื่อมีความเข้าใจเวทนาอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็ควรน้อมย้อมรับตามความเป็นจริงเมื่อพิจารณาหรือบริกรรมท่องบ่น เวทนาย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นไปตามธรรม เกิดเป็นสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง หรืออทุกขมสุขเวทนาบ้าง เป็นทุกข์ธรรมชาติ อย่าไปมีตัณหากับเขา เมื่อบริกรรมท่องบ่นอย่างมีสติอย่างสมํ่าเสมอ ย่อมช่วยให้สัญญาในเรื่องเวทนาที่ถูกต้องนั้นแนบแน่นขึ้นนั่นเอง
เมื่อเกิดทุกขเวทนาแล้ว มักเกิดวิภวตัณหาในทุกขเวทนานั้น จึงพากันเป็นทุกข์อุปาทานอย่างจริงๆ ก็มีเป็นจำนวนมาก
เวทนาเกิดประดุจเดียวกับการปาก้อนหินลงในนํ้านั่นเอง ที่ย่อมต้องเกิดการกระทบกับผิวน้ำให้เป็นระลอกกระเพื่อมเป็นธรรมดา ถ้าเราปาหินลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน ผิวนํ้าย่อมกระเพื่อมเป็นระลอกอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราจะหยุดระลอกน้ำนั้น ก็เพียงแต่หยุดปาหิน ไม่ให้เกิดการกระทบสัมผัสกับน้ำแค่นั้นเอง ผิวน้ำก็ย่อมสงบราบเรียบลงไปตามธรรมชาติ จิตก็เช่นกัน เมื่อหยุดการปรุงแต่งความคิดต่างย่อมหยุดการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)กับธรรมารมณ์ความคิดนึกต่างๆ จิตก็ย่อมสงบราบเรียบเช่นเดียวกัน จึงทำได้ด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง
ข้อคิดพิจารณา เมื่อปาก้อนหินลงในนํ้า จนเกิดการกระทบกันแล้ว จะไม่ให้เกิดการกระเพื่อมเลย เป็นไปได้ไหม?
เวทนาก็เป็นไปฉันนั้น
เรื่องเวทนานี้ เราจะหนีมันไปไหนไม่ได้ เราต้องรู้มัน เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา สุขก็สักแต่ว่าสุข ทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์ มันเป็นของสักว่าเท่านั้นแหละแล้วเราจะไปยึดมั่นถือมั่นมันทำไม
หลวงปู่ชา สุภัทโท
สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
สุขเวทนานั้นเกิดขึ้น จึงเป็นสุข แต่เมื่อสุขเวทนาคือสุขนั้นดับไป ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการโหยไห้อาลัยหาในภายหน้าจนเป็นทุกข์ในที่สุด
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป
ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ย่อมรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อทุกขเวทนานั้นดับไป ย่อมเป็นสุข เพราะดับทุกข์ก็คือสุขนั่นเอง จึงเป็นสุข ไม่เร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายอีกต่อไป
อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.
ฝ่ายอทุกขมสุขหรืออุเบกขาเวทนา ที่แลดูหลอกล่อราวกับว่าไร้โทษภัย แต่กลับเป็นตัวก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยมากเป็นที่สุด เมื่อเกิดขึ้นแล้วและประกอบด้วยความรู้ชอบ ย่อมรู้เท่าทันแล้วอุเบกขาคือไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปจนเกิดทุกข์ แต่ถ้ารู้ผิดย่อมส่งจิตออกไปฟุ้งซ่านปรุงแต่งต่อไป ด้วยเข้าใจผิดคิดไปว่าไม่มีทุกข์โทษภัย จนเกิดทุกข์ขึ้นเป็นที่สุด
หลักการปฏิบัติในเวทนา
สุขเวทนา มีอยู่ แต่ไม่ติดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่หมกใจอยาก
ทุกขเวทนา มีอยู่ แต่ไม่พิรี้พิไร รำพัน โอดครวญ ไม่หลงด้วยรู้ว่าเป็นเช่นนั้นเอง
อทุกขมสุข มีอยู่ แต่รู้ทัน ไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งให้ยืดเยื้อเป็นเรื่องเป็นราวอีกต่อไป ด้วยทราบชัด การเกิด ดับ คุณ โทษ
(แสดงการพิจารณาในเวทนา)
(พระสูตรที่แสดงเวทนา ๓ ที่ทำให้พระสารีบุตรสำเร็จพระอรหัตตผล)