มหาสติปัฏฐานสูตร

ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เพื่อจุดประสงค์อะไร

คลิกขวาเมนู  

        สติปัฏฐาน ๔ เป็นการปฏิบัติเพื่อทั้ง สติ๑  สมาธิจิตตั้งมั่น๑  และอีกทั้งปัญญา๑ ให้กล้าแข็ง,  เป็นการปฏิบัติเพื่อเป็นการฝึกให้สติระลึกรู้ คือ การจำขึ้นมาได้  หรือก็คือการนึกขึ้นมาได้ (คือการดึงเอาความจำหรือข้อมูลจากสัญญาความทรงจำขึ้นมาใช้การงานได้ดี ในขณะใช้ในการทำงานหรือการปฏิบัตินั่นเอง) ไม่เผลอเรอ, ที่ประกอบด้วยจิตตั้งมั่นจากสมาธิภาวนาประเภทที่ ๓, อีกทั้งประกอบด้วยความเข้าใจ หรือการรู้ความจริงเกี่ยวกับ กาย๑ เวทนา๑ จิต๑ และธรรม๑,   จึงต้องประกอบด้วย ความเพียร(วิริยะ) ด้วยจึงสัมฤทธิ์ผล  เพราะการจะมีสติระลึกรู้ คือจำได้ หรือดึงความจำขึ้นมาได้ คือการนึกขึ้นมาได้ หรือจำขึ้นมาได้ในสัญญา(ความจำ)นั้นๆอย่างแคล่วคล่องว่องไวนั้น อันพึงจะเกิดได้อย่างมั่นคงก็ด้วยความเพียร(วิริยะ)นั่นเอง เป็นไปดั่งการท่องสูตรคูณที่เล่าเรียนการเขียนอ่านตอนเยาว์วัย  กล่าวคือ สติจะทำงานได้ดี ถ้าสัญญาคือความจำนั้นแนบแน่นมั่นคง(อันพึงเกิดขึ้นจากความเพียรปฏิบัติบริกรรมท่องบ่น)นั่นเอง จึงต้องมีความเพียรพิจารณาทบทวนอยู่เนืองๆ คือบ่อยๆเสมอๆ ให้แนบแน่น ดังมีกล่าวไว้ใน อภิธรรมภาชนีย์ อันเป็นพระอภิธรรม บทภาชนีย์ (บทที่ตั้งไว้เพื่อขยายความ) ในการปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔  ที่เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ย่อมทำให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างได้ผล

        สติปัฏฐาน ๔ พระองค์ท่านจัดว่าเป็นทางปฏิบัติสายเอก คือ เอกายนมรรค หมายถึง เป็นทางอันเอกในการปฏิบัติอันประเสริฐ ที่จะนำผู้ปฏิบัติไปสู่ความบริสุทธิ์หมดจด หมดความทุกข์ และบรรลุนิพพาน,  พระองค์ท่านได้ตรัสแสดงดังบันทึกไว้ในท้ายบทของมหาสติปัฎฐานสูตร,  ส่วนในการปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ นั้นมีกล่าวถึงแนวทางปฏิบัติดังนี้ในอภิธรรมภาชนีย์

อภิธรรมภาชนีย์

             [๔๕๘] สติปัฏฐาน ๔ คือ

                        ๑. ภิกษุในศาสนานี้ พิจารณาเห็นกายในกายเนือง(บ่อยๆเสมอๆ) อยู่

                        ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนือง อยู่

                        ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง อยู่

                        ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนือง อยู่

        เหตุที่ต้องใช้การพิจารณา กาย เวทนา จิต อีกทั้งธรรม อยู่เนืองๆ คือบ่อยๆเสมอๆ เพื่อให้รู้เท่า,รู้ทันจริงๆเมื่อเกิดขึ้น จัดได้ว่าเป็นหัวใจของการปฏิบัติในหลักสติปัฏฐาน ๔ เลยก็ว่าได้  ก็ด้วยต้องการให้เป็นสัญญาจำที่แนบแน่น ที่แลดูเหมือนกับว่าเป็นไปไม่ได้  แต่แท้จริงแล้วสามารถกระทำได้จริง ดั่งที่กล่าวอยู่เสมอๆว่า ให้มีสติระลึกรู้เท่าทัน คือจำได้ นึกขึ้นมาได้ อย่างรู้เท่า รู้ทัน เหมือนดั่งการจำได้ใน"แม่สูตรคูณ" หรือการอ่านเขียน ที่ได้กระทำเมื่อสมัยเล่าเรียนอยู่นั่นเอง ที่ย่อมประกอบด้วยความเพียร(วิริยะ)คือได้กระทำพิจารณาท่องบ่นอยู่เนืองๆบ่อยๆเสมอๆในชั้นเรียนตอนเยาว์วัย,  จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการปฏิบัติ ที่เมื่อปฏิบัติด้วยความเพียรดีแล้ว ในกาลภาคหน้าเมื่อต้องการใช้งาน ดังเช่น เมื่อเห็นหรือถูกถามว่า 2X2 = เท่าไร,  ก็มีสติระลึกรู้เท่าทัน คือ จำหรือนึกขึ้นมาได้ คือรู้เท่า รู้ทัน สามารถนำมาใช้งานได้ดีว่า" = 4 " นั่นแหละสติที่ต้องการเช่นเดียวกันในการปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ คือ จำขึ้นมาได้ อีกทั้งเข้าใจอย่างรู้เท่ารู้ทันกัน อีกทั้งปัญญาใน กาย เวทนา จิต และธรรม ที่ประสบ หรือพิจารณานั้นๆ

        จึงพอจะให้คำจำกัดความของ"สติ" ในสติปัฏฐาน ๔ ทางพุทธศาสนาเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ จะได้นำไปปฏิบัติได้ถูกต้องว่า  

        สติ คือการระลึกรู้เท่าทัน  หรือก็คือการนึกขึ้นมาได้  การจำขึ้นมาได้  สามารถดึงขึ้นมาใช้งานโดยไม่ลืมเลือนในสิ่งนั้นๆ คือจำได้, นึกขึ้นมาได้ เมื่อประสบกับอารมณ์(สิ่งที่กำหนดหมาย)นั้นๆ   หรือถ้าจำกัดความให้แคบลงมาเพื่อการปฏิบัติ,  สติในการปฏิบัติ ก็คือ การมีสติระลึกรู้  นึกขึ้นมาได้  จำขึ้นมาได้ เมื่อประสบกับอารมณ์ต่างๆ(หมายถึง สิ่งที่กำหนดหมาย คือ กาย เวทนา จิต ธรรม) และนำไปใช้ในการงานได้ดี  อีกทั้งรู้ความจริงของสิ่งนั้นๆเพื่อปล่อยวาง ก็เพื่อประโยชน์ในการดับทุกข์

การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ โดยย่อ

        ๑. มีสติรู้เท่าทันกาย แล้วไม่ถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิใดๆ

        ๒. มีสติระลึกรู้เท่าทันเวทนา ที่ประกอบด้วยปัญญาว่า สักว่าเวทนา มันเป็นเข่นนี้เอง จึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วไม่ถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิใดๆ

        ๓. มีสติระลึกรู้เท่าทันจิต(จิตสังขารคือสังขารขารขันธ์ อีกทั้งมโนกรรมความคิดอันพึงเกิดขึ้นจากสังขารขันธ์นั่นเอง) สักว่าจิต มันเป็นเข่นนี้เอง จึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วไม่ถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิใดๆ

        ๔. มีสติระลึกรู้เท่าทันธรรม เพื่อเป็นเครื่องรู้เครื่องระลึกในธรรมต่างๆ เพื่อการธรรมวิจยะ

        กายานุปัสสนา-เห็นกายในกาย  เป็นการฝึกสติ ให้มีสติคือการระลึกรู้เท่าทัน หรือก็คือ ให้นึกขึ้นได้, จำขึ้นมาได้ในสัญญา(ความจำ)เกี่ยวกับความจริงของกายในแบบต่างๆ,  

        โดยเบื้องแรกนั้นเป็นการฝึกสติ อีกทั้งพินารณาให้เห็นความจริงต่างๆขิงกาย   โดยเป็นการปฏิบัติให้สติ ละความดำริ(ความคิด)พล่านต่างๆลงไปให้ได้เสียก่อนเป็นประการแรก  โดยการอาศัยกาย อันคือลมหายใจเป็นอารมณ์(อานาปานสต) คือการใช้ลมหายใจเป็นที่กำหนดหรือที่อยู่ของจิต จึงเป็นปัจจัยให้ จิตสงบระงับไม่ฟุ้งซ่าน  จึงเป็นปัจจัยให้ กายสงบระงับ  จึงเป็นปัจจัยเกิด ปัสสัทธิ(ความสงบกายสงบใจ, ความผ่อนคลายกายใจ)  จึงเป็นสุข  จึงเป็นปัจจัยให้จิตตั้งมั่น มั่นคง เป็นสมาธิภาวนาประเภทสติสัมปชัญญะ อันเป็นไปโดยอาการของปฏิจจสมุปบันธรรมหรือปัจจยการ คือการที่มีเหตุ แล้วเป็นปัจจัยกัน แล้วยังให้เกิดผลหรืออีกสิ่งหนึ่งขึ้น,  นอกจากการอาศัยลมหายใจเป็นอารมณ์(อานาปานสติ)หรือที่กำหนดของจิตแล้ว  ยังอีกการใช้สติไปในอิริยาบถ(กริยาท่าทาง เช่น ยืน นอน เดิน นั่ง ฯ.)  อีกทั้งในสัมปชัญญะ(ในการเคลื่อนไหวต่างๆของกาย)เป็นอารมณ์กำหนดหมายได้อีกด้วย,  ทั้ง ๓ ต่างทำให้จิตมีที่อยู่อันควร จึงย่อมละความดำริพล่านต่างลงไป ดังที่พระองค์ท่านตรัสแสดงไว้ในสติปัฏฐาน ๔  จิตจึงไม่ส่งส่ายออกไปฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)ปรุงแต่งไปภายนอก,  ในการปฏิบัตินั้นสามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์เมื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันคือเจริญสติอยู่เนืองๆให้แนบแน่นนั่นเอง ,  ซึ่งเมื่อมีสติและอีกทั้งสมาธิคือตั้งมั่นแน่วแน่คือไม่ซัดส่าย อยู่กับกายได้ดีแล้ว จึงย่อมมีสุข สงบ สบาย เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมหรือปัจจยการ เป็นเหตุปัจจัยกัน  ซึ่งเมื่อน้อมนำจิตไปในการทำวิปัสสนา คือคิดพิจารณาให้เห็นความจริงของกายหรือรูปขันธ์ หรือแม้แต่ธรรมอื่นๆอีกด้วย  เพื่อให้เห็นคติคือความเป็นธรรมดา ของกายในผู้อื่นว่าเป็นเช่นไร  ทั้งของตนก็จักเป็นเช่นนั้นเช่นกัน (ดังแสดงอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร)

        กายสักว่าธาตุ ๔ (ธาตุมนสิการ) การพิจารณากายให้เห็นความจริงว่า กายนั้นแท้จริงก็คือสังขารสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างหนึ่ง คือเกิดจากธาตุทั้ง ๔ จึงย่อมอนิจจังมีความไม่เที่ยง,  ทุกขังคงทนอยู่สภาพเดิมอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์ในที่สุด,  เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนที่เป็นของมันเองจริง เป็นเพียงการประกอบกันขึ้นเป็นองค์ประกอบรวมขององค์ประกอบย่อยๆคือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ(การสันดาป) แท้จริงจึงไม่มีตัวตนของมันเองจริงให้เข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของได้  จึงไม่ใช่ของเรา เราจึงย่อมควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้ อันเป็นไปตามหลักอิทัปปัจยตานั่นเอง  จึงมีการ เกิด แก่ เจ็บป่วย ตาย เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามปรารถนาของใครๆได้  ให้เห็นติ ความเป็นธรรมดาของร่างกายของทุกผู้คน คือทั้งของผู้อื่นว่าเป็นเช่นใด อีกทั้งของตนก็เป็นเช่นนั้น (แสดงอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร)

        กายสักว่าเป็นของปฏิกูล(ปฏิกูลมนสิการ) พิจารณาให้เห็นความจริงว่ากายแท้จริงแล้ว ล้วนประกอบด้วยสิ่งสกปรก โสโครก ล้วนเป็นปฏิกูล น่ารังเกียจ เช่น เห็นกายนี้แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูต เพื่อให้เห็นติเป็นธรรมดา ของร่างกายของทุกผู้คน คือทั้งของผู้อื่นว่าเป็นเช่นใด อีกทั้งของตนก็เป็นเช่นนั้น (แสดงอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร)

        กายสักว่าเป็นของไม่งาม แท้จริงแล้วล้วนต่างต้องเน่าเสียเปื่อยเน่า ไม่สวยงาน คงทนอยู่ไม่ได้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น(นวสีวถิกา)  โดยการพิจารณากายโดยการเป็นซากศพ  ในสภาพต่างๆ อันแปลกกันไปใน ๙ ระยะเวลา(แสดงอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร) เพื่อให้เห็นติ ความเป็นธรรมดาของร่างกายของทุกผู้คน คือทั้งของผู้อื่นว่าเป็นเช่นใด อีกทั้งของตนก็เป็นเช่นนั้น

- ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ที่ขึ้นพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
- ฝูงนก ฝูงสัตว์ หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆกัดกินอยู่บ้าง 
- เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่ 
- เป็นร่างกระดูกปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
- เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
- เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว กระดูกเรี่ยรายไปในคนละทิศละทาง
- เป็นเหลือแต่กระดูกมีสีขาว
- เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่แล้วเกินปีหนึ่ง

- เป็นกระดูกผุ เป็นจุณ

        แล้วน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความ เป็นอย่างนี้ไปได้

        การปฏิบัติและพิจารณากายอย่างนี้ๆอยู่เนืองๆ  จึงย่อมยังผลให้เกิดทั้งสติ สมาธิ และปัญญา อีกทั้งนิพพิทาญาณในกายได้ดี

        แล้วพึงทำการพิจารณาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง(โยนิโสมนสิการ) อีกทั้งพิจารณากำกับลงไปอีกด้วยว่า  "เหล่านี้เป็นเพียงเครื่องรู้ (ความรู้-ญาณ, อีกทั้งเครื่องรับรู้) และเครื่องระลึกคือเพื่อการเตือนสติ คือเพื่อเตือนให้จำได้ หรือให้นึกขึ้นได้ว่า เธอจะเป็นผู้ที่ไม่มีตัณหาและทิฏฐิใดๆอาศัยอยู่แล้ว  จึงไม่ถือมั่นใดๆในโลกนี้",  พิจารณากายให้รู้เห็นตามความเป็นจริงยิ่งว่า เป็นเพียงสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา,  และสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงพึงตัองเกิดขึ้นมาอย่างนี้เองเป็นธรรมด  ด้วยล้วนเป็นอนัตตา จึงไม่ใช่ของเราจริง เมื่อไม่ใช่ของเราจึงบังคับควบคุมไม่ได้ตามใจปรารถนาจริงๆ   ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นจึงทำหน้าที่แต่เพียง "ปล่อยวาง" หรือ "ไม่เอา"(เช่น ไม่เอา-ไปปรุงแต่ง, ไม่เอา-ไปยึดถือ, ไม่เอา-ไปพัวพัน)  หรือการอุเบกขาสัมโพชฌงค์ องค์สุดท้ายของโพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้เสียนั่นเอง

        อนึ่งพึงมีสติระลึกรู้อยู่เนืองๆคือเสมอๆบ่อยๆอีกด้วยว่า   แม้มีสติระลึกรู้เท่าทันในทั้ง กาย เวทนา จิต และธรรมดังในสติปัฏฐาน ๔ ดีแล้วก็ตาม  ยังต้องมีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง(ปัญญา)ด้วยว่า เพราะมันไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เขา เรา ก็ด้วยล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น จึงไม่ใช่ของของเราอย่างแท้จริง จึงย่อมควบคุมบังคับบัญชามันคือทั้งใน กาย เวทนา จิต แม้ธรรมไม่ได้ตามใจปรารถนา  จึงต้องมีสติระลึกรู้ คือจำขึ้นมาได้ หรือนึกขึ้นได้ อยู่เนืองๆ คือเสมอๆ(เหมือนหนึ่งท่องแม่สูตรคูณในยามเด็กๆที่ต้องบริกรรมท่องบ่นทุกวันในชั้นเรียน) ด้วยว่ามันต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยเช่นนี้เอง,  ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่า เมื่อมีสติรู้เท่าทัน คือแค่จำขึ้นมาได้ หรือนึกขึ้นมาได้แล้วมันจะไม่เกิดขึ้น หรือมันจะหายไปไหน, มันยังคงเกิดขึ้นอย่างนั้นเองเป็นธรรมดา,  เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็เพียงแต่"หยุดเสียเพียงแค่นี้เอง" คือ ด้วยอาการของการ ไม่เอา ไม่แสวงหา ไม่พัวพัน ไม่ยึดถือ ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ. หรือด้วยการอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั่นเอง ด้วยใจที่เป็นสมาธิประเภทมีสติสัมปชัญญะตั้งมั่น คือแน่วแน่ คือมั่นคง มั่นใจ นั่นแหละที่เป็นตัวจัดการกับทุกข์ กล่าวคือ ทำให้กิเลสคือตัณหาต่างๆให้จางคลาย...จนดับลงไปในที่สุด อย่างแท้จริง  กล่าวคือก็ด้วยเมื่อไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดการต่อเนื่องสัมพันธ์กันต่อไปได้ให้เป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ได้ต่อไปนั่นเอง  กล่าวคือ เมื่อมีสติระลึกรู้เท่าทัน หมายถึง นึกหรือจำขึ้นมาได้แล้ว ก็ไม่เอา ไม่ปรุงแต่งใดๆเข้าไปอีก คือวางเฉย ย่อมไม่เกิดการผัสสะให้เกิดเวทนาและสังขารขันธ์(อารมณ์ต่างๆ เช่น ราคะ โทสะ โมหะ ฯ. หรืออาการของจิต)ต่างๆขึ้นมาอีก อันล้วนเป็นอนัตตา จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นอีก ทุกข์เกิดการสืบเนื่องต่อไปไม่ได้ จึงย่อมต้องเสื่อมดับไปเองเป็นที่สุดด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ของธรรมนิยาม  กล่าวคือเมื่อวางเฉยไม่เข้าไปเอนเอียงปรุงแต่งใดๆ จึงขาดเหตุที่ไปเป็นปัจจัยให้เกิดการสืบเนื่องไปอีกได้  จึงเปรียบเสมือนตะเกียงขาดน้ำมัน หรือดั่งรถขาดน้ำมัน  จึงย่อมต้องเสื่อมคือจางคลาย..จนดับไปเสมือนหนึ่งดั่งไฟ หรือรถที่ขาดน้ำมันนั่นเอง  ดังปรากฏอยู่ในปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร

สติที่รู้เท่าทันนั้น ต้องเป็นสติที่รู้เท่า รู้ทันจริง ไม่ใช่การ"รู้ตาม" ถึงให้ผลอันยิ่ง ดังแสดงข้างล่างนี้

จงทำญาณให้เห็นจิต ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป

เป็นธรรมคำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

        เวทนานุปัสสนา-เห็นเวทนาในเวทนา ฝึกสติให้ระลึกรู้เท่าทันอยู่นืองๆ คือเสมอๆบ่อยๆในเวทนา และรู้ตามความเป็นจริง ด้วยว่าเป็นเพียงเวทนา เกิดแต่เหตุปัจจัยคือการผัสสะ, ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เขา เรา ล้วนเป็นอนัตตา จึงบังคับบัญชามันไม่ได้,  ให้มีสติคือ มีสติรู้ชัด หรือจำได้หรือนึกขึ้นมาได้เมื่อเกิดเวทนาต่างๆที่เกิดขึ้นจากการผัสสะ  ที่ย่อมต้องเกิดเวทนา(ความรู้สึกจากการที่ต้องไปรับรู้รสในสิ่งที่ผัสสะหรือกระทบนั้นๆ)อย่างหนึ่งอย่างใดที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ทุกครั้งที่มีการผัสสะกันของอายตนะภายใน กับ ภายนอก เช่น"ตา" กับ "รูป" หรือ "หู" กับ "เสียง" ฯ. จึงย่อมเกิดการเสวยอารมณ์ เมื่อเสพเสวยจึงย่อมรู้รสชาดของสิ่งที่ผัสสะนั้นๆ เหมือนการเสวยอาหารนั่นเอง  จึงเกิดเป็นสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง หรืออทุกขมสุขเวทนาบ้างอย่างใดอย่างหนึ่งพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา จากการเสวยอารมณ์เสพรสในสิ่งที่ผัสสะนั้น,  อีกทั้งรู้ชัดว่ามีอามีส(เจือกิเลส) หรือไม่มีอามีส จึงเป็น ๙ แบบ,     แล้วพึงพิจารณาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งอีกด้วยว่า  เป็นสภาวธรรมชาติซึ่งพึงจำต้องเกิดขึ้นเองอย่างนี้เป็นธรรมดา หรือพูดแบบง่ายๆก็คือมันทำของมันเองเป็นอัตโนมัติ จะห้ามจะหยุดก็ไม่ได้, เป็นสังขารอย่างหนึ่งจึงเกิดแต่เหตุปัจจัย(ดังที่ได้กล่าวแสดงไว้ในเรื่อง ขันธ์ ๕ แล้ว) ล้วนเป็นอนัตตา ดังนั้นย่อมบังคับควบคุมไม่ได้ตามใจปรารถนา  จึงพึงเกิดขึ้นมาเช่นนี้เองตามเหตุปัจจัย ไปแก้ไขตามใจปรารถนาอย่างเดียวย่อมไม่ได้  จึงไปห้ามไปหยุดเขาไม่ได้ ดุจดั่งกับการหายใจ  จึงให้เป็นเพียงเครื่องรู้(ความรู้-ญาณ)อีกทั้งเครื่องรับรู้ และเป็นเครื่องระลึกคือเตือนสติเท่านั้น,   ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว และมีเครื่องรู้(ญาณ)ว่าเป็นอกุศล ก็เพียงไม่เอา  หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์เสียนั่นเอง  ด้วยเธอเป็นผู้ที่ไม่มีตัณหาและทิฏฐิใดๆอาศัยแล้ว จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆในโลกนี้  เพราะเธอย่อมรู้ด้วยปัญญา(ญาณ)อันยิ่ง อีกทั้งสติเท่าทันดังที่กล่าวแล้วว่า  เป็นเพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันเป็นสภาวธรรม จึงต้องเป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา  ก็ด้วยเป็นอนัตตาจึงบังคับบัญชาไม่ได้  จึงทำได้เพียงปล่อยวางคือไม่เอาดังกล่าว  แล้วมันก็ดับไปเอง เนื่องจากขาดเหตุปัจจัยให้สืบเนื่องต่อไปได้อีก เหมือนดังข้างต้น

           ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นจึงทำหน้าที่แต่เพียง "ปล่อยวาง" หรือ "ไม่เอา"(เช่น ไม่เอา-ไปปรุงแต่ง, ไม่เอา-ไปยึดถือ, ไม่เอา-ไปพัวพัน)  หรือการอุเบกขาสัมโพชฌงค์ องค์สุดท้ายของโพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้เสียนั่นเอง

หรือพึงปฏิบัติต่อเวทนาดังแสดงใน ฉฉักกสูตร หัวข้อที่ ๘๒๓

สุขเวทนา มีอยู่  แต่ไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจ  จึงไม่มีราคานุสัยนอนเนื่อง

(ด้วยการอุเบกขา,  หรือก็คือการไม่เอา ไม่ปรุงแต่งให้เนื่องต่อไปนั่นเอง)

ทุกขเวทนา มีอยู่  แต่ไม่เศร้าโศก ไม่กลัวลำบาก ไม่ร่ำไห้ ไม่คร่ำครวญทุ่มอก ไม่ถึงความหลงพร้อมๆ  จึงไม่มีปฏิฆานุสัยนอนเนื่อง

(ด้วยการอุเบกขา,  หรือก็คือการไม่เอา ไม่ปรุงแต่งให้เนื่องต่อไปนั่นเอง)

อทุกขมสุขเวทนา มีอยู่ ย่อมทราบชัดการเกิด, ตั้งอยู่, และดับไป จึงไม่ประมาท ไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่ง ด้วยรู้ชอบว่า ย่อมแปรไปเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาได้อีก  จึงไม่มีอวิชชานุสัยนอนเนื่อง

(ด้วยการอุเบกขา,  หรือก็คือการไม่เอา ไม่ปรุงแต่งให้เนื่องต่อไปนั่นเอง)

จึงถึงซึ่งการนับได้ว่า"เวทนานั้นดับไป"  จึงย่อมไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด"ตัณหา"ขึ้นได้ (ปฏิจจสมุปบันธรรม)

อาการปฏิบัตินี้ แท้จริงแล้วก็เหมือนดั่ง การวางเฉย ไม่เอา ไม่ปรุงแต่ง ไม่ถือมั่น หรืออุเบกขาดีงกล่าวนั่นเอง

อีกทั้งประกอบด้วยปัญญาอันไปรู้ความจริงยิ่ง,  จึงไม่ใช่การบังคับให้เฉยๆ

        จิตตานุปัสสนา-เห็นจิตในจิต - สติเห็นจิต คือฝึกสติให้รู้ชัด เท่าทัน อยู่นืองๆในจิตสังขาร,  จิตหลังที่หมายถึง จิตสังขาร ที่หมายถึงสิ่งถูกปรุงแต่งขึ้นต่างๆของจิตหรือก็คือสังขารขันธ์(เจตสิกต่างๆ)ทั้งหลายนั่นเอง  กล่าวคือ จำขึ้นมาได้ หรือนึกขึ้นมาได้ในจิตสังขารที่เกิดขึ้น  จิตที่หมายถึงจิตสังขารหรือสังขารขันธ์(ในขันธ์ ๕) หรืออาการต่างๆของจิต(เจตสิก)หรือเรียกง่ายๆว่าอารมณ์ต่างๆในทางโลกนั่นเอง  อีกทั้งรวมทั้งความนึกคิด(มโนกรรม)ที่ย่อมพึงเกิดขึ้นเนื่องมาจากสังขารขันธ์หรืออารมณ์อีกด้วย,  สังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆดังเช่น ราคะ(ทั้งโลภะ), โทสะ(โมโห,ขุ่นเคือง), โมหะ(ความหลง,ความไม่รู้จริง), จิตฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ-คิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ, รำคาญใจ), จิตหดหู่(หดหู่ ซึมเซา เบื่อ เซ็ง ฯ.), เจตนา(ความจงใจหรือเจตนาต่ออารม์ต่างๆ) ฯลฯ.  กล่าวคือ ระลึกเท่าทัน คือจำได้เท่าทันในจิตสังขารต่างๆ(อาการของจิตหรืออารมณ์ทางโลกต่างๆนั่นเอง) ที่เกิดขึ้น     แล้วพึงพิจารณาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งอีกด้วยว่า  เป็นสภาวธรรมชาติซึ่งพึงจำต้องเกิดขึ้นเองอย่างนี้เป็นธรรมดา เป็นเพียงสังขารอย่างหนึ่งจึงย่อมเกิดแต่เหตุปัจจัย(ดังที่ได้กล่าวไว้ในเรื่อง ขันธ์ ๕ และพระไตรลักษณ์แล้ว) อีกด้วยล้วนเป็นอนัตตา จึงบังคับควบคุมไม่ได้ตามใจปรารถนา  จิตสังขารหรืออารมณ์ทางโลกพึงเกิดขึ้นมาจากเวทนาเป็นปัจจัย  จึงพึงเกิดขึ้นมาเช่นนี้เองจึงไปห้ามไปหยุดเขาไม่ได้ ดุจดั่งกับการหายใจ  จึงให้เป็นเพียงเครื่องรู้(ความรู้-ญาณ) เครื่องระลึกคือเตือนสติเท่านั้น,  เพื่อที่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว และมีเครื่องรู้(ญาณ)ว่าเป็นอกุศล ก็เพียงไม่เอา หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์เสียนั่นเอง  ด้วยเธอเป็นผู้ที่ไม่มีตัณหาและทิฏฐิใดๆอาศัยแล้ว จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆในโลกนี้,  ด้วยรู้ดียิ่งว่าเป็นเพียงจิตสังขารต่างๆเท่านั้นเอง ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ด้วยอนัตตา

        จิตเห็นจิต มีราคะ(โลภะ) ; โทสะ(โมโห ขัดข้องใจ ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ) ; โมหะ(หลง, ไม่รู้จริง) ; หดหู่(ซึมเซา,เบื่อ, กังวล) ; ฟุ้งซ่าน(คิดพล่าน, คิดปรุงแต่ง) ฯลฯ. อีกทั้งเหล่าเวทนาดังข้างต้นแล้ว เมื่อสติรู้เท่าทันแล้ว ไม่ใช่ว่ามันจะหายไปไหน ด้วยมันเป็นอนัตตา จึงเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเอง ดังนั้นจึงไปทำอะไรๆเขาไม่ได้เลย,  กำหนดรู้ว่าเป็นเพียงจิต อีกทั้งเป็นอนัตตา บังคับบัญชาเขาไม่ได้,  จึงไม่เอา ไม่ยึดมั่นถือมั่น คือปล่อยวาง ไม่พัวพัน หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หรืออุเบกขาเสียนั่นเอง    ด้วยเมื่อขาดเหตุปัจจัยให้เกิดเนื่องกันต่อไป ก็ย่อมต้องจางคลายดับไปด้วยพระไตรลักษณ์เช่นกัน

        จิตเห็นจิต จึงหมายถึง สติเห็นจิตสังขาร คือการมีสติระลึกรู้เท่าทันจิตสังขารต่างๆเช่น ราคะ โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ฯ. คือรู้ว่าจิตนั้นผ่องแผ้วหรือเศร้าหมอง ตามความเป็นจริง อีกทั้งมีเข้าใจในเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ดั่งเช่น จิตสังขารย่อมเกิดจากเวทนาเป็นปัจจัย, จึงไม่ยึดมั่นถือมั่น คือไม่เอา คืออุเบกขาสัมโพชฌงค์   จึงถึงการนับได้ว่าทำให้จิตสังขารฝ่ายอกุศลคือตัณหานั้นดับไป อุปาทานจึงดับ ภพจึงดับ ฯ......จึงเป็นการดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทฝ่ายสมุทยวารหรือฝ่ายดับทุกข์เช่นกัน

        ธัมมานุปัสสนา-เห็นธรรมในธรรม  ฝึกสติให้รู้เท่าทันคือ ให้จำได้  ที่หมายถึงทั้งเท่าทันและเข้าใจถูกต้อง(ญาณ)  เพื่อให้เกิดปัญญา เช่นพิจารณาใน  นิวรณธรรม ๕,  ขันธ์ ๕ อีกทั้งอุปาทานขันธ์ ๕,  อายตนะภายในทั้ง ๖ และอายตนะภายนอกทั้ง ๖ อันเป็นบ่อเกิดของสังโยชน์ ๑๐,  สัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการตรัสรู้,  และอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐทั้ง ๔ ฯลฯ       แล้วพึงพิจารณาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งอีกด้วยว่า  เป็นสภาวธรรมชาติซึ่งพึงจำต้องเกิดขึ้นเองอย่างนี้เป็นธรรมดา อีกด้วยล้วนเป็นอนัตตา จึงบังคับควบคุมไม่ได้ตามใจปรารถนา  จึงพึงเกิดขึ้นมาเช่นนี้เองแก้ไขอะไรๆไม่ได้  จึงไปห้ามไปหยุดเขาไม่ได้ ดุจดั่งกับการหายใจ  จึงให้เป็นเพียงเครื่องรู้(ความรู้-ญาณ)  เครื่องระลึกคือจำได้เพื่อเตือนสติเท่านั้น ,    ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว และมีเครื่องรู้(ญาณ)ว่าเป็นอกุศล ก็เพียงไม่เอา หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์เสียนั่นเอง  ด้วยเธอเป็นผู้ที่ไม่มีตัณหาและทิฏฐิใดๆอาศัยแล้ว จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆในโลกนี้ 

 

สติและสมาธิ ต่างกันอย่างไร

คลิกขวาเมนู  

        สติกับสมาธินั้น มีการทำงานประสานอาศัยสนับสนุนผูกพันซึ่งกันและกันอยู่อย่างใกล้ชิด  จนส่วนใหญ่ให้คำจำกัดความแยกแยะกันไม่ได้,  สติ การระลึกรู้ เท่าทัน, การนึกขึ้นได้ การจำขึ้นมาได้ในสัญญา คือความจำต่างๆ อย่างเท่าทัน (ถ้านึกไม่ออกลองพิจารณาดูว่า ความนึกขึ้นมาได้ จากสัญญา(ความจำ)ว่า 2X2=เท่าไร แล้วจำขึ้นมาได้ว่าเท่ากับ "4", การจำขึ้นได้ว่า 2X2=เท่ากับ 4 นั่นแหละคือ ความนึกขึ้นมาได้, จำขึ้นมาได้ เท่าทันในการใช้การงานได้ดี  นั่นแหละคือสติอย่างหนึ่ง) การไม่ลืม  ไม่เผลอเรอ  ที่คณาจารย์ผู้รู้ได้อุปมาไว้ว่า  สติเหมือนดั่งเส้นเชือกที่ผูกโคป่าที่แสนพยศไว้กับหลักดีแล้ว โคป่าหรือวัว(จิต)ซึ่งปกติย่อมมีวิสัยไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยนั้น จึงไม่หาย อีกทั้งไปไหนไกลๆก็ไม่ได้  ได้แต่เดินวิ่งวนเวียนอยู่ในวงเชือกไม่สามารถหนีเตลิดเปิดเปิงไปจนกระทั่งหายสูญได้นั่นเอง  ด้วยสติทำหน้าที่เป็นเชือกที่ดึงไว้ (สติคือผู้ดึงเอาสัญญาคือความจำ ขึ้นมาใช้ได้ในเบื้องต้น) จึงทำให้วัวป่าแสนพยศหรือจิตนั้น อยู่ภายในวงรัศมีของเชือก(สติ)นั้นนั่นแล เมื่อต้องการวัว ก็ยังพอสามารถแลเห็นหรือจับต้องได้ง่าย คือรู้ว่าวัวนั้นอยู่ในขอบเขตนั้นๆบ้าง  แม้อาจต้องออกกำลังไล่จับก็เพียงเล็กน้อย เหมือนดั่งสติ(ความนึกได้,จำได้)ที่บางครั้งก็หลงๆลืมๆไปบ้างชั่วขณะ จนต้องไล่จับกันเหมือนดังวัวในวงเชือกบ้างเหมือนกัน,   ส่วนสมาธิก็ทำหน้าที่็คล้ายสติ แต่เมื่อดึงสัญญาหรือมีสติระลึกรู้คือจำได้,นึกได้ ดึงความจำขึ้นมาได้แล้ว สมาธิก็มีหน้าที่จับไว้ให้อย่างแน่วแน่ ตรึงจิตไว้กับที่ คือให้อยู่กับกิจได้ดี คือแน่วแน่ต่อกิจหรืองาน ไม่ให้หายไปไหนในขณะใช้งานนั้นๆ คือในขณะที่ใช้ในการงานนั้นๆอยู่ไม่ให้หลุดลอยไป  จึงเปรียบเสมือนดั่งวัวป่า(จิต)ที่แม้ผูกเชือกไว้กับหลักดีแล้ว แต่ยังผูกตอกตรึงมัดรัดวัวนั้นอีกกำกับหนึ่ง จึงทำให้มันหมอบอยู่กับที่อย่างแน่นหนาสำทับลงไปอีก ไม่ให้ดิ้นรนดิ้นพล่านหรือเดินหนีพล่านไปในที่ใดๆได้อีกเลย เราก็ย่อมจัดการใดๆกับโคป่าแสนพยศ(จิต)ที่ถูกมัดตอกตรึงแน่นหนาดีแล้วนั้นได้ง่าย แม้แต่การนำไปฆ่าเพื่อการชำแหละขาย หรือเพื่อการนำไปพิจารณาในการทำกิจใดๆก็ย่อมทำได้ง่ายขึ้น  หรือใช้ไปในการพิจารณาใดๆ  หรือใช้ตรึงปัญญาไปในการแก้ปัญหาต่างๆได้แน่วแน่ขึ้นไปคือมีสมาธินั่นเอง   จึงย่อมสัมฤทธิ์ผลได้ดีกว่าและง่ายกว่าการที่ต้องไปวิ่งไล่จับจิต เหมือนดั่งไปไล่จับโคที่ปล่อยเป็นอิสระวิ่งเพ่นพล่านไปทั่วจนเหนื่อยอ่อน  หรือแม้แต่ผูกอยู่กับหลักดีแล้วแต่ก็ยังวิ่งวนเวียนหลบหลีกซ้าย หลบหลีกขวา แม้อยู่ในรัศมีวงเชือกอยู่ร่ำไป,  อีกทั้งสมาธิเองยังเป็นกำลังของจิตอันดีเลิศอีกด้วยดังเคยอธิบายไว้ว่าดุจดั่งไม้ไผ่ที่มัดรวมกัน จึงย่อมแข็งแรง,  เพียงแต่อย่าไปติดเพลินจนเป็นมิจฉาสมาธิเสีย ต้องนำมาใช้ประโยชน์เยี่ยงนี้ย่อมดีเลิศ

        สติ ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ได้กล่าวไว้ว่า สติทำหน้าที่จับยึด จึงเหมือนกับการจับยึดผืนผ้าที่มีข้อความเขียนกำกับอยู่ แต่ยังปลิวพริ้วไสวอยู่ไปตามกระแสลม  แม้สติจับยึดผืนผ้าได้แล้ว แต่ผ้านั้นก็ยังปลิวคือยังมีการพริ้วไหวไปมา ลอยไปลอยมาตามแรงลม(คืออารมณ์)ต่างๆอยู่ได้นั่นเอง,   ด้วยเหตุที่ผ้านั้นก็ยังย่อมมีการพริ้วสั่นไหวไปมาตามแรงลม(คืออารมณ์ต่างๆ)อยู่เป็นธรรมดา ดังนั้นการจะอ่านข้อความใดๆในผืนผ้าให้รวดเร็วถูกต้องอย่างสมบูรณ์นั้น ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากอยู่,   แต่สมาธิเปรียบเสมือนดั่ง การไปจับตรึง จับดึงป้ายผ้านั้นไว้ให้หยุดการสะบัดพริ้วไหว ได้อย่างมั่นคง แน่วแน่ แนบแน่น  ผ้าจึงย่อมไม่พริ้วไหวไปมาอีกต่อไป คือนิ่งอยู่ จึงย่อมอ่านข้อความหรือข้อมูลต่างๆบนผืนผ้านั้นได้อย่างสะดวกถูกต้อง  ด้วยเหตุดังนี้จึงต้องมีทั้งสติและสมาธิดังกล่าว พึงพาอาศัยกันและกัน

 

สติเกี่ยวข้องอะไรกับสัญญาความจำ

คลิกขวาเมนู  

        เมื่อกล่าวถึงสติและสมาธิแล้ว  ก็มีความจำเป็นต้องกล่าวถึงสัญญา(ความจำได้, ความหมายรู้ ตามที่ได้สั่งสมอบรมเก็บจำมาไว้แต่อดีตจวบปัจจุบันนั่นเอง) เพราะเกี่ยวเนื่องพัวพันกันอย่างแนบแน่น แยกจากกันไม่ได้เลยเช่นกัน  กล่าวคือ สิ่งที่สติ ระลึกรู้ จำได้ นึกขึ้นมาได้ ก็คือสัญญาความจำได้หมายรู้ หรือความทรงจำเหล่านี้นี่เอง  ดังนั้นถ้าสัญญาความจำนี้แนบแน่นมั่นคงดี จากการสั่งสมหรือด้วยความเพียรที่กระทำบ่อยๆหรือพิจารณาบ่อยๆหรือเนืองๆจนแนบแน่น อย่างดีเลิศ,  สติย่อมจำได้ ระลึกได้ นึกขึ้นได้ อย่างง่ายดายและรวดเร็วอีกทั้งถูกต้อง  ดังสัญญา การจำได้หมายรู้ในการท่องแม่สูตรคูณ หรือการอ่านเรียนเขียนหนังสือ ฯลฯ. ที่แนบแน่นดีแล้วแต่สมัยเยาว์วัย  ที่แม้ทิ้งห่างมาเป็นนานแม้เป็นปี แต่ก็ยังคงใช้ในการงานได้ดีอยู่ ด้วยเป็นสัญญาอันแนบแน่นมั่นคงดีแล้วดังที่กล่าวนี้นี่เอง,   สัญญาอันพึงเกิดจากความเพียร จึงเปรียบประดุจเสาหลักที่ปักลงไปในฐานดินอย่างมั่นคง  เพื่อให้เชือก(คือสติ)ไม่หลุดลอยไป จึงอยู่ในวิสัยที่ใช้เชือกคือสติควบคุมวัวป่า(จิต)ได้นั่นเอง  เมื่อเสาหลัก (สัญญา) มั่นคงไม่หลุดลอยหายไป เชือก(สติ)ก็มีความแข็งแรงดี  อีกทั้งมีสมาธิแน่วแน่มั่นคงอยู่ในกิจที่ทำ จึงย่อมไม่หลุดลอยหายไปอีกทั้งเชือก(สติ)และวัวป่า(จิต)  อีกทั้งวัวปาาหรือจิตเมื่อดีดดิ้นรนจนเหนื่อยอ่อน ก็ย่อมอ่อนแรงลงไปเป็นลำดับเช่นกัน จึงทำให้ง่ายต่อการควบคุมบังคับบัญชาจิตหรือวัวป่าได้ในที่สุด

สติปัฏฐาน ๔

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต),พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

[182] สติปัฏฐาน 4 (ที่ตั้งของสติ, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆ มันเป็นของมันเอง
       1. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็นจริง ว่า เป็นเพียงกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ท่านจำแนกปฏิบัติไว้หลายอย่าง คือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ 1 อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ 1 สัมปชัญญะ สร้างสัมปชัญญะในการกระทำความเคลื่อนไหวทุกอย่าง 1   ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดทั้งหลายที่ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้ 1 ธาตุมนสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ 1
 นวสีวถิกา พิจารณาซากศพในสภาพต่างๆ อันแปลกกันไปใน 9 ระยะเวลา ให้เห็นคติธรรมดาของร่างกาย ของผู้อื่นเช่นใด ของตนก็จักเป็นเช่นนั้น 1
       2. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คือ มีสติรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ทั้งที่เป็น
สามิส และเป็นนิรามิสตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ (สามิสสุข-ความสุขที่ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาประกอบ ความสุขที่ขึ้นต่อสิ่งอื่น หรือความสุขที่พึ่งพา หรือ สามิสสุข  ๒. นิรามิสสุข-ความสุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาประกอบ ความสุขที่ไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่น หรือความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพา หรือ นิรามิสสุข)
       3. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คือ มีสติรู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ ตามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ

       4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คือ มีสติรู้ชัดธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 อริยสัจ 4 ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญบริบูรณ์ และดับไปได้อย่างไร เป็นต้น ตามที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นๆ.

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ

 

Google


ทั่วโลก  ค้นหาเฉพาะใน"ปฏิจจสมุปบาท"