|
นิพพาน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ |
คลิกขวาเมนู |
ธาตุสูตร พระสูตรที่กล่าวถึงนิพพาน ที่หมายถึงการดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตรธรรม และเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา, ท่านแบ่งนิพพานธาตุ อันหมายถึงภาวะแห่งนิพพาน เป็น ๒ กล่าวคือ
สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานที่ยังมีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสแล้วแต่ยังมีเบญจขันธ์(ขันธ์ ๕)เหลืออยู่ กล่าวคือ ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง คือนิพพานของพระอรหันต์ผู้ยังมีชีวิตหรือยังดำรงขันธ์อยู่ในโลกนั่นเอง จึงยังต้องเสวยอารมณ์หรือเวทนาอันเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง เพราะอินทรีย์ยังมีอยู่ ยังไม่แตกดับไป จึงย่อมมีการผัสสะให้เกิดเวทนาขึ้นเป็นธรรมดาอยู่ตลอดเวลาที่ดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ แต่ไม่เป็นทุกข์อุปาทานอันเร่าร้อนเผาลนเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว กล่าวคือ จึงเป็นนิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับกิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะ, หรือก็คือการดับภพจิตในปฏิจจสมุปบาทธรรมเสียสนิทแล้วนั่นเอง
อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสและไม่มีเบญจขันธ์หรือขันธ์ ๕ เหลืออีกด้วย กล่าวคือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิต จึงหมายถึง พระอรหันต์ที่สิ้นชีวิต, นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะดับภพทั้งปวง กล่าวคือทั้งฝ่ายภพจิตและภพกายนั่นเอง
ในธาตุสูตรที่แสดงถึงนิพพานธาตุนี้ แสดงความทั้ง ๒ นัย กล่าวคือ ทั้งฝ่ายโลกิยะและโลกุตระ ขึ้นอยู่กับภูมิของนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญ
[๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์(หมายถึง ย่อมยังมีเวทนาอยู่เป็นธรรมดาของชีวิต จึงมี)ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ (ก็)เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใด(อัน)เป็นธรรมชาติ(ของขันธ์หรือชีวิต ยัง)ไม่บุบสลาย(แตกดับไป) อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย (เราจึงเรียก)ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น(ที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่) นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น(อันย่อม)เป็นธรรมชาติ(ของชีวิตเมื่อยังดำรงชีวิตหรือขันธ์อยู่) (ดังนั้น)อัน(เมื่อ)กิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้น(ย่อม)ให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว (จึงย่อม)จักเย็น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
(สำนวนตรงนี้ อาจตีความจนเกิดวิจิกิจฉาได้ แต่มีความหมายถึง เวทนาทั้งปวง ย่อมสิ้นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม เพราะถึงกาละหรือความตายแล้ว จึงไม่เสวยเวทนาทั้งปวงแม้ในอินทรีย์ ๕ ดังสอุปาทิเสสนิพพานข้างต้น ; หรือเป็นดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวแสดงความหมายของนิพพานในอีกลักษณาการหนึ่งซึ่งดีงามเช่นกัน)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการ นี้แล ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้วในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ผู้คงที่ ประกาศไว้แล้ว
อันนิพพานธาตุ อย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่า สอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวงอันมีในเบื้องหน้าชื่อว่า อนุปาทิเสส
ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่งแล้วนี้ มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ
ชนเหล่านั้นยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นกิเลส เพราะบรรลุธรรมอันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๗