กลับไปสารบัญ

รวมเกร็ดธรรม ประเทืองปัญญา

กระดานธรรม ๑

เพื่อประกอบการพิจารณา ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ

ลงไปข้อธรรมล่าสุด

จาก ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์  โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

............บางคนอาจสงสัยว่า   อายตนะนี้นอนหลับแล้วไม่ต้องใช้   ขอเฉลยไว้  ณ ที่นี้เลยว่าต้องใช้   คือ   "มโนทวาร"   คือใจ   มีอายตนะครบถ้วนอยู่แล้วเรียกว่า   "อายตนะภายใน"   มันทำงานอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน   กายพักผ่อนนอนหลับแล้ว   ใจไม่หลับที่เราเรียกกันว่าฝัน   แล้วในฝันนั้น   มันมีขันธ์ ๕   อายตนะครบบริบูรณ์เลย   แต่ที่ไม่ฝันนั่นเป็นเพราะสัญญา(อันเป็น)นามธรรมไม่ร่วมทำงานด้วย (webmaster - ขยายความว่า สัญญาจำทั้งมวลอันต้องอาศัยหทัยวัตถุคือสมองอันเป็นส่วนหนึ่งของกายนั้นจึงย่อมต้องพักผ่อนหรือยังไม่ทำงานเท่านั้น   ส่วนสัญญาภายในหมายถึงของขันธ์๕ที่เกิดจากการผัสสะยังทำงานอยู่ไปกับใจหรือจิต)  แท้ที่จริงใจนี้ไม่มีการพักผ่อนหลับนอนเลย    (webmaster - กล่าวคือ เมื่อสัญญาอันอาศัยหทัยวัตถุพักผ่อนเพียงพอแล้ว ก็เริ่มทำงานลอยผุดสัญญาขึ้น   ใจหรือจิตซึ่งไม่เคยพักผ่อนนอนหลับเลยนั้น ก็ครบองค์ประกอบของการผัสสะจึงทำงานโดยทันที  และยังสามารถปรุงแต่งต่อไปต่างๆนาๆ)  ใจจะพักทำงานได้ก็ต่อเมื่อใจได้อบรมกรรมฐานโดยถูกต้อง   แล้วเข้าถึงฌาน (คือภวังค์จิต)   ถ้าจะพูดให้ชัด   ภวังค์จิต ก็ยังไม่ชื่อว่า   "จิตพักโดยสมบูรณ์   ต้องเข้าถึงนิโรธสมาบัติ   ดับความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด   แม้แต่ลมหายใจก็ไม่ปรากฏ"   เพราะภวังค์เป็นแต่หยุดงานอันเกี่ยวข้องด้วยอารมณ์หรืออายตนะภายนอกเท่านั้น   ส่วนอายตนะภายในใจซึ่งเกิดกับดับพร้อมอยู่ ณ ที่ใจโดยเฉพาะแล้วหาได้หยุดไม่   ยังคงทำงานอยู่ตามเดิม   แต่มันเป็นงานอันละเอียดเฉพาะส่วนตัว   ถ้าจะเปรียบแล้วเหมือนกับเราหยุดรับงานอื่นๆ   มีงานรับแขกเป็นต้น   แล้วเข้าห้องเขียนหนังสือเป็นต้น   ฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้ระวังสังวรในอายตนะทั้งหลาย   จึงต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นทุกข์มาก  เพราะอารมณ์มากแลมีทั้งดีทั้งชั่ว   ผู้มาพิจารณาเห็นโทษแล้ว   จึงต้องระวังสังวรในอายตนะทั้งหลาย เพื่อมิให้ใจหลงใหลไปในอารมณ์ต่างๆ.........  (webmaster - ควรทำเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉนั้นจะเกิดการพยายามนอนในฌานบ้าง นอนในสมาบัติบ้าง ฯ. ตามที่ได้เคยอ่านเคยฟังมาอย่างผิดๆ กล่าวคือ แม้แต่พระอริยเจ้าก็ต้องนอนหลับพักผ่อน   การเข้าฌาน[ภวังค์] หรือสัญญาเวทยิตนิโรธ[นิโรธสมาบัติ]นั้นเป็นเรื่องเพียงครั้งคราวหรือเฉพาะกิจ  และไม่ใช่เพราะความติดใจอยากหรือติดเพลิน[นันทิ]   ดังนั้นท่านก็นอนหลับพักผ่อนไม่ใช่หมายความว่าการนอนของท่านต้องเข้าฌานหรือนิโรธสมาบัติแต่อย่างใด)

พุทธพจน์

          "ภิกษุทั้งหลาย   การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าใจไปยึดถือว่าร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน  (webmaster - ขยายความว่า  ถึงแม้ว่าจะเป็นความเข้าใจที่ผิดก็ตาม แต่ก็  )ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน    เพราะว่า กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้  ยังปรากฎให้เห็นว่าดำรงอยู่(ขยายความว่า  แสดงให้เห็นว่าคงทนอยู่ไม่ได้อย่างแท้จริง อย่างไรเสียก็แสดงให้เห็นว่าอยู่ได้)เพียงปีหนึ่งบ้าง ๒ ปีบ้าง  ๓ - ๔ - ๕  ปีบ้าง  ๑๐ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ - ๕๐ ปีบ้าง  ๑๐๐ ปีบ้าง  เกินกว่านั้นบ้าง แต่สิ่งที่เรียกว่า  จิต  มโน  หรือวิญญาณนี้  ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน   (ขยายความว่า  จิตนั้น เกิดแล้วดับ...เกิดแล้วดับๆ  อยู่ทั้งในขณะตื่น และแม้ขณะหลับ  ไป เช่นการฝัน   แต่กลับไม่เห็นว่า เกิดแต่เหตุปัจจัยจึงเกิดดับอยู่ตลอดเวลา  จึงไปยึดว่ามีตัวมีตน   จึงเป็นการหลงผิดที่ร้ายกว่าการหลงผิดไปยึดถือว่ากายเป็นตัวตน   เพราะย่อมยังให้ไม่เข้าใจความเป็นเหตุปัจจัยและพระไตรลักษณ์  จึงไม่เจริญก้าวหน้าในธรรม)"

(อัสสุตวตาสูตร)

(สํ.นิ. ๑๖ / ๒๓๑ / ๑๑๔)

จาก ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์  โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

............ในตัวของคนเรานี้   ท่านจัดกองแห่งธรรมไว้   ๕   ดวง   กองรูปได้แก่ธาตุ ๔  ดังอธิบายมาแล้ว เรียกว่ารูปขันธ์    อีก  ๔  กองเรียกว่านามขันธ์   คือ  เวทนาขันธ์ ๑    สัญญาขันธ์ ๑   สังขารขันธ์ ๑   วิญญาณขันธ์ ๑,   อายตนภายใน ๖  มีตาเป็นต้น  ประสบกับอายตนะภายนอก ๖  มีรูปเป็นต้น  แล้วเกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง   หรือโสมนัส   โทมนัส   อุเบกขาเฉยๆ   เรียกว่าเวทนาขันธ์ฯ   อายตนะภายใน ๖   ภายนอก ๖  ประสบกันเข้าแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาดังอธิบายมาแล้วข้างต้น   แล้วจำได้หมายรู้ในอารมณ์นั้นๆ   แม้จะนานแสนนานทั้งที่เป็นอดีต แลอนาคต หรือปัจจุบัน เรียกว่าสัญญาขันธ์ฯ     จิตชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากอายตนะทั้งสองนั้นประสบกันก็ดี   หรือเกิดลอยๆ   ขึ้นมาแล้วคิดนึกฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปต่างๆ นานา จนหาที่จบลงไม่ได้ เรียกว่าสังขารขันธ์ หมายถึงสังขารจิตโดยเฉพาะ,   แต่ถ้าเป็นการตรึกตรองในเรื่องนั้นๆจนเห็นถ่องแท้ชัดเจนหมดกังขาด้วยปัญญาอันชอบแล้วเรียกว่า "ธัมมวิจย" มิได้เรียกสังขารขันธ์ฯ,     วิญญาณมีมากอย่าง   วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทเป็นวิญญาณ นำเอาขันธ์ทั้ง ๕ มาปฏิสนธิ  คือวิญญาณตัวนั้นต้องมีขันธ์ทั้ง ๕  พร้อมมูลมาในตัว  จึงจะมาอุบัติในภูมิขันธ์ ๕ ได้.....  

Webmaster-ดังที่ท่านหลวงปู่เทสก์ ได้แสดงข้างต้นนั้น  เมื่อนำมาเขียนเป็นสมการธรรมของขันธ์ ๕ เพื่อให้แลดูง่ายต่อความเข้าใจความเป็นเหตุปัจจัยกัน  เป็นไปดังกระบวนธรรมขันธ์ ๕ ที่แสดงอยู่เนืองๆ แตกต่างกันเพียงการแสดงรายละเอียด   คือเป็นไปดังนี้

อายตนะภายนอก + อายตนะภายใน anired06_next.gif( วิญญาณ anired06_next.gifเวทนาขันธ์ anired06_next.gif สัญญาขันธ์ anired06_next.gif สังขารขันธ์

เป็นการแสดงความเป็นเหตุปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง ๕ คือ มีเหตุเป็นปัจจัยกันให้เกิดผลหนึ่งขึ้น และผลนี้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลอีกสิ่งหนึ่งขึ้น จนถึงกระบวนธรรมคือสังขารขันธ์

จาก ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์  โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

............อายตนะทั้ง ๖   จึงทำหน้าที่รับเอาอารมณ์ขนาดหนักอยู่ตลอดเวลา   ถึงแม้จะเห็นโทษว่าเป็นของวุ่นวายนำมาซึ่งความเดือดร้อน   แต่ก็จำต้องรับวิบากไปตามกาล   เพราะได้ตกอยู่ในห้วงของกรรมแล้ว   ผู้เห็นโทษเท่านั้นจึงคิดที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะมันได้   แล้วดำเนินตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า  "ให้ตั้งสติระวังอย่าให้หลงใหลไปตามกระแสของอารมณ์ทั้ง ๖  เพราะทวารทั้ง ๖  นี้จำต้องใช้มันอยู่ตลอดเวลา"...... "

จาก สัจจธรรม

        สังขาร คือ สิ่งปรุงแต่ง  หรือสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น  กล่าวคือ  สิ่งอันเกิดขึ้นจากการที่เหตุต่างๆ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นมา  เมื่อโยนิโสมนสิการพึงเห็นได้ว่ามิได้เกิดแต่เหตุหรือสิ่งๆเดียวกัน  แต่มีเหตุหรือสิ่งต่างๆมากกว่าหนึ่งขึ้นไปมาประชุมปรุงแต่งกัน  จึงมิใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง แต่มาประชุมหรือมาประกอบกันขึ้น   แต่เนื่องจากมิใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริงจึงมีความไม่เสถียร เพราะแรงบีบเค้นหรือแรงยึดแรงผลักระหว่างกันอันเป็นธรรมชาติ  จึงต้องมีอาการแปรปรวน จึงไม่เที่ยงเป็นธรรมดา(อนิจจัง)  ไม่สามารถควบคุมบังคับให้คงที่คงทนได้อย่างถาวรตลอดไป     เมื่อไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดาอยู่เยี่ยงนั้นตลอดเวลา  จนถึงที่สุดย่อมแปรปรวนเสื่อมถอยมาจนมาถึงสภาพสุดท้ายที่ต้องดับไปเป็นธรรมดา(ทุกขัง)  จึงก่อให้เป็นทุกข์แก่ผู้ที่อยากด้วยตัณหาหรือยึดไว้ด้วยอุปาทาน    เพราะความที่ต้องแปรปรวนและต้องดับไปเป็นที่สุด  และต่างล้วนเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นแกนแท้จริง   เพราะล้วนเกิดจากการประชุมปรุงแต่งกันของสิ่งต่างๆที่มิใช่สิ่งเดียวกัน  จึงไม่สามารถคงสภาพตัวตนนั้นๆไว้ได้อย่างถาวรเที่ยงแท้  ดังนั้นเมื่อเหตุต่างๆอันมาประชุมปรุงแต่งกันนั้นแปรปรวนและเสื่อมถอยจนดับไปด้วยเหตุอันใด   สิ่งนั้นๆหรือตัวตนจึงย่อมดับไปไม่มีความเป็นตัวตนหรือสิ่งนั้นๆอยู่อีกต่อไป  จึงกล่าวว่า ไม่มีแก่นแกน อย่างแท้จริง......

การปฏิบัติธรรม

พุทธธรรม หน้า ๙๓๒ โดย พระธรรมปิฏก

        เรื่องหนึ่งที่ควรกล่าวถึงไว้ด้วย  คือ  ปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำซึ่งมีความหมายคลาดเคลื่อน  เลื่อนลอย  แปลกไปตามกาลสมัย  ตัวอย่างสำคัญคือ  คำว่า  "ปฏิบัติธรรม"  ซึ่งมีความหมายที่แท้ควรได้แก่  การนำเอาธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต  หรือการดำเนินชีวิตตามธรรม    แต่ปัจจุบันมักเข้าใจคำนี้ในความหมายว่า  เป็นการอบรมทางจิตปัญญาขั้นหนึ่งระดับหนึ่งโดยเฉพาะ  ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปแบบ  และทำไปตามแบบแผนที่กำหนดวางไว้......

 

วิปัสสนาสมาธิ

พุทธธรรม หน้า ๘๒๘

         คัมภีร์บางแห่งกล่าวถึง วิปัสสนาสมาธิ   เพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง  แทรกอยู่ระหว่างขณิกสมาธิ กับ อุปจารสมาธิ (เช่น ปฏิสํ.อ.๑๕๐)   พึงทราบว่าวิปัสสนาสมาธินั้นก็ คือ  ขณิกสมาธิที่นำไปใช้ในการเจริญวิปัสสนานั่นเอง  และมีความประณีตขึ้นไปเพราะการปฏิบัติ......

 

webmaster - กล่าวคือ แบ่งสมาธิเพิ่มจาก ๓ เป็น ๔ ระดับ อันมี ๑.ขณิกสมาธิ   ๒.วิปัสสนาสมาธิ   ๓.อุปจารสมาธิ   ๔.อัปปนาสมาธิ     วิปัสสนาสมาธิความจริงก็คือขณิกสมาธิในข้อ ๑. ที่ใช้ไปในการวิปัสสนา  เพียงแต่จำแนกแตกธรรมออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนเท่านั้นเอง

        วิปัสสนาสมาธิ หมายถึง การปฏิบัติโดยใช้สมาธิระดับขณิกสมาธิไปในการพิจารณาธรรมหรือเจริญวิปัสสนานั่นเอง กล่าวคือเมื่อเป็นขณิกสมาธิแล้ว ใช้การคิดพิจารณาในธรรมนั้นๆเป็นอารมณ์ หรือเป็นองค์วิตกโดยตรงเลยนั่นเอง  เมื่อดำเนินไปได้อย่างแนบแน่นในธรรม ในบางครั้งหรือบางขณะก็เกิดความประณีตเลื่อนไหลไปสู่สมาธิในระดับละเอียดประณีตขึ้นไปได้เองเป็นลำดับอีกด้วย จึงเจริญสมาบัติระดับประณีตได้ในที่สุดเองอีกด้วย   ซึ่งไม่ก่อให้เกิดมิจฉาฌานหรือมิจฉาสมาธิชนิดไปติดเพลินเพื่อเสพรสหรือนันทิในองค์ฌานหรือสมาธิอันยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสอีกด้วย อันมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มุ่งหวังในสมาธิหรือฌานสมาบัติระดับประณีตก่อน โดยขาดการวิปัสสนา จึงก่อปัญหาอย่างมากมาย,  วิปัสสนาสมาธิจึงเป็นสมถวิปัสสนาอันดีงามยิ่ง เหมาะกับทุกเพศ(ภิกษุุ,ฆราวาส,ชาย,หญิง) ทุกฐานะ ฯ.

        ขณิกสมาธิ  สมาธิชั่วขณะ  เป็นสมาธิขั้นต้น  ซึ่งคนทั่วไปอาจใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่การงานในชีวิตประจำวัน และการปฏิบัติธรรมให้ได้ผลดี  และใช้เป็นจุดตั้งต้นในการเจริญวิปัสสนาได้ดี  คืออาการที่จิตค่อนข้างแน่วแน่ในสิ่งที่กำหนดคืออารมณ์ ได้ดีพอสมควร คือเป็นระยะยาวๆ โดยไม่งุ่นง่านหงุดหงิด กล่าวคือด้วยอาการสบายใจ อาจมีการซัดส่ายสอดแส่ออกไปภายนอกบ้างเป็นครั้งคราวตามการผัสสะ แต่ไม่เตลิดเปิดเปิงไป แล้วก็มีสติระลึกรู้กลับมาอยู่กับอารมณ์ หรือกิจ หรืองานได้ดี

จาก การฝึกหัดจิตให้มีสติทุกเมื่อ  โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

        ส่วนการสำรวมระวังใจ  ถ้าอยู่เฉยๆ ใจไม่มีเครื่องอยู่  ให้เอาคำบริกรรมอันใดอันหนึ่งมาเป็นเครื่องอยู่มาเป็นหลักผูกใจ  เช่น  พุทโธ  อานาปานสติ  ตามลมหายใจเข้าออก  ยุบหนอพองหนอ  หรือสัมมาอรหังก็ได้    เอาอันนั้นมาเป็นเครื่องอยู่เสียก่อน  นึกคิดอยู่เสมอๆจนเป็นอารมณ์ (webmaster -  สิ่งที่จิตยึดเหนี่ยว แต่ต้องเป็นไปอย่างมีสติ  ไม่ได้มีจุดประสงค์โดยตรงให้เลื่อนไหลไปเป็นฌานสมาธิที่ลึกเกินไป  ไม่ใช่การท่องจำอย่างคล่องปากคล่องใจ) มีสติควบคุมจิตอยู่ตรงนั้นแหละ  จิตอยู่ที่ใดให้เอาสติไปตั้งตรงไว้ในที่นั่น  จึงจะเรียกว่าควบคุมจิต  รักษาจิต  ที่จะห้ามไม่ให้คิดไม่ให้นึกนั้นห้ามไม่ได้เด็ดขาด    ธรรมดาของจิตมันต้องมีคิดมีนึก  แต่หากมีสติควบคุมจิตอยู่เสมอ  คิดนึกอะไรก็รู้ตัวอยู่ทุกขณะ  เรียกว่า  บริกรรมภาวนา..... 

พนมพร

         โดยทั่วไปแล้วถ้าเราไปหาหมอเพื่อขอคำแนะปรึกษาว่า ควรรับประทานอาหารอะไร  หมอทุกๆคนย่อมแนะนำโดยหลักพื้นฐานทั่วไป คือให้รับประทานอาหารครบทุกหมู่อย่างแน่นอน   แต่ควรมีความเข้าใจด้วยว่าคำแนะนำนั้น ย่อมหมายถึงคนโดยปกติทั่วๆไป   ย่อมมิได้หมายครอบคลุมถึงผู้ป่วยบางโรค  ที่อาจต้องยกเว้นอาหารบางหมู่ลง เพื่อประกอบการรักษา    ในกรณีเดียวกันกับการปฏิบัติ  โดยทั่วไปก็มักไปกราบไหว้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ตลอดจนศึกษาจากการอ่านตามสื่อต่างๆ เพื่อขอคำแนะแนวในการปฏิบัติ  ทุกท่านทุกองค์ย่อมแนะให้เจริญในศีล สมาธิ และปัญญา อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิบัติ  แต่การปฏิบัติสมถะสมาธิและการบริกรรมแม้เป็นสิ่งที่ดีที่สมควรปฏิบัติแก่นักปฏิบัติโดยทั่วไป  แต่ในนักปฏิบัติบางท่าน เช่น มีอาการทางจิต  หรือติดสุขหรือองค์ฌานต่างๆนั้น  ก็ต้องละเว้นเป็นการชั่วคราวเช่นเดียวกันกับผู้ป่วยที่พึงต้องละเว้นอาหารบางชนิดเป็นธรรมดา  จนกว่าจะแก้ไขอาการต่างๆให้ดีขึ้น   จึงควรพึงเจริญปัญญาแต่ฝ่ายเดียวไปก่อน.....

จาก สติรักษา  โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี 

       สติ  คือ  ผู้ระลึกถึงจิตอยู่เสมอๆ  นั่นเรียกว่าสติความระลึกได้    จิตคือผู้คิด  ผู้นึก  ผู้ส่งส่าย,   อาการเป็นอย่างนั้นเรียกว่าสติ    ถ้าไม่มีจิตมันก็ไม่มีสติ  ถ้าไม่มีสติมันก็ไม่มีจิต  แท้ที่จริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ  แต่มันเป็นอาการคนละอย่างกัน  หน้าที่คนละอันกัน

จาก การรับรู้อารมณ์ของพระอรหันต์   พุทธธรรม หน้า ๒๔๘ โดย พระธรรมปิฏก

...........เมื่อรับรู้อารมณ์ต่างๆจากภายนอก  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  เป็นต้น  พระอรหันต์ยังคงเสวยเวทนา  ที่เนื่องจากอารมณ์เหล่านั้น    ทั้งที่เป็นสุข   ทั้งที่เป็นทุกข์   และไม่สุขไม่ทุกข์     เช่นเดียวกับคนทั่วไป    แต่มีข้อพิเศษตรงที่  ท่านเสวยเวทนาอย่างไม่มีกิเลสร้อยรัด  ไม่ติดเพลิน   หรือข้องขัด   อยู่กับเวทนานั้น    เวทนา  นั้นไม่เป็นเหตุให้เกิดตัณหา    เป็นการเสวยเวทนาชั้นเดียว  เรียกสั้นว่าเสวยเวทนาทางกาย  ไม่เสวยเวทนาทางจิต (หมายถึงเวทนาทางใจก็เกิดอยู่เป็นธรรมดา  แต่ไม่เสวยหรือไม่ลิ้มรสของอารมณ์หรือเวทนาทางใจนั้นอันเกิดจากตัณหาอีก - webmaster)  ไม่ทำให้เกิดความเร่าร้อนกระวนกระวายภายใน    เรียกว่าเวทนานั้นเป็นของเย็นแล้ว    การเสวยเวทนาของท่านเป็นการเสวยชนิดที่ไม่มีอนุสัยตกค้าง.............

จาก วิธีลดอัตตา  โดย ท่านพุทธทาส

..........ครั้นมาถึง พระอรหันต์ ก็จะต้องละ "ตัวตน" อันอยู่ในรูป ของ รูปราคะและอรูปราคะ กับต้องละ  มานะ  อุทธัจจะ  และอวิชชา ซึ่งเป็นโมหะอย่างละเอียดด้วยกันทั้งนั้น   และสำหรับอวิชชานั้น ยังแถมอยู่ในฐานะที่เป็นต้นตอหรือแม่บท หรือประธานของบรรดากิเลสทั้งหลายทุกๆ อย่างด้วย   พระโสดาบันและพระสกิทาคามี เริ่มละกิเลสประเภทโมหะ   พระอนาคามีละกิเลสประเภทราคะและโทสะ   ส่วนพระอรหันต์นั้นละกิเลสประเภทราคะที่เหลืออยู่ และประเภทโมหะที่เหลืออยู่โดยสิ้นเชิง  เมื่อมองดูให้ตลอดแนวแห่งการละกิเลสของพระอริยเจ้าทั้ง ๔ ประเภทแล้ว เราจะพบว่ากิเลสประเภทโมหะจะต้องถูกละก่อน   แล้วจึงจะมาถึงกิเลสประเภทราคะโทสะ  แล้วถึงกิเลสประเภทราคะและโมหะที่เหลือ   คือเป็นการเริ่มต้นด้วยปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ............

จาก สัจจธรรม โดย พนมพร

         ความไม่เที่ยง  มีความเที่ยงเป็นธรรมดา

        มิได้มีความขัดแย้งในธรรมกันแต่ประการใด   ความไม่เที่ยง มีความหมายถึง สังขารสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาตามกฎพระไตรลักษณ์   ส่วนความเที่ยงนั้นหมายถึงอสังขตธรรมหรือสภาวะธรรม หมายถึง เป็นไปตามธรรมชาติ หรือมันต้องเป็นไปเช่นนี้เอง(ตถาตา) หรือเที่ยงแท้แน่นอน    ดังนั้นสังขารอันไม่เที่ยงจึงเป็นไปดังนั้นอย่างเที่ยงแท้เป็นที่สุด    

ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว

        เป็นสัจจธรรมที่เที่ยงแท้อยู่เยี่ยงนั้นเอง  แต่ในปัจจุบันมีผู้ไม่เห็นเป็นไปเช่นนี้  จึงได้ยินทุภาษิตเป็นไปดังนี้อย่างแพร่หลายคือ  ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป  เป็นเพราะความไม่เข้าใจธรรมหรือเกิดความน้อยเนื้อตํ่าใจ   จึงมองเห็นแต่สภาวะความเป็นไปตามความเห็นเข้าใจของตน เช่น เห็นคนทำชั่วแล้วรํ่ารวยมีอำนาจเป็นต้น   แต่ตามความเป็นจริงนั้นการทำดีนั้นยังย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ไม่สามารถแปรผันเป็นอื่นได้เลย กล่าวคือ ย่อมเป็นไปตามผลกรรม(ผลของการกระทำ)นั่นเอง  อุปมาดั่ง ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว จะได้องุ่น เผือก มัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น   เพียงแต่ไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า เมื่อปลูกข้าวแล้วย่อมได้ข้าวแต่ไปอยากไปยึดให้มันรวยขายได้ราคาดี   ตามความเป็นจริงแล้วเป็นคนละเหตุปัจจัยกัน  ย่อมไม่สามารถเนื่องสัมพันธ์กันได้  แต่ด้วยความไม่รู้จึงไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงคิดไปยึดเป็นไปดังนั้นเอง   กล่าวคือ ไปมองเห็นหรือเข้าใจว่าทำดีแล้วไม่รวย หรือทำไมทำดีแล้วยังมีเหตุแห่งทุกข์มากระทบอีก   หรือคนทำชั่วทำไมถึงรวย  คือไปมองในมุมมองที่ผิดไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกัน  มองตามความเห็นความเข้าใจของตนจึงเอาไปคิดว่าเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง   และเพราะว่าวิบากกรรม(ผลที่ได้รับจากการกระทำ)เป็นอจินไตย  ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เป็นสูตรตายตัวได้เท่านั้นเอง ผลกรรมนั้นจึงเพียงไปแสดงออกในรูปอื่นโดยไม่รู้เท่านั้นเอง   ดังนั้นจึงอย่าท้อแท้ด้วยมิจฉาทิฏฐิ    เพราะว่าทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว  นั้นเป็นสภาวะธรรมอันเที่ยงแท้แน่นอนเป็นที่สุด  และเกิดขึ้นแก่จิต ณ ขณะนั้นโดยทันทีด้วยเช่นกัน 

จาก อตุโล ไม่มีใดเทียม  โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล    (หน้า ๑๔๑)

.........ส่วนผู้ที่ประสบภัยพิบัติ  หรือผู้ที่ตกในสภาวะอับจน ก็ไม่ควรหมดอาลัยตายอยาก ควรทําจิตใจให้สงบระงับตั้งมั่นอยู่    ก็จะค่อยๆหาทางออกให้แก่ตนได้  เพราะปัญหาทุกอย่างที่ไม่มีทางออกทางแก้ย่อมไม่มีในโลก  ดูเอาเถอะว่า แม้แต่ปัญหาเรื่องความทุกข์ อันเกิดจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธองค์ก็ยังหาคําตอบไว้ให้ได้   สําหรับปัญหาอื่นๆ อันเล็กน้อยจะไม่มีคําตอบได้อย่างไร

จาก สัจจธรรม โดย พนมพร

ตัวกู  ไม่ใช่ของกู

ตัวกู  ยังไม่ใช่ของกู      แล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นของกู  ได้อย่างไร

ตัวกู  ยังสักแต่ว่าธาตุ๔       แม้ชีวิตของกู  ก็สักแต่ขันธ์๕

ถ้าตัวกูเป็นของกูแล้วไซร้     ต้องควบคุมบังคับได้ตามปรารถนา

ไม่ใช่ควบคุมได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

ไม่เป็นไปเพื่ออาพาธเจ็บป่วย

แต่เพราะตัวกู  ไม่ใช่ของกู  อย่างแท้จริง

จึงควบคุมไม่ได้ตามปรารถนา

ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย   เพียงแต่บางครั้งไปตรงตามที่ปรารถนา

จึงเกิดการไปหลงคิดหลงยึดว่าเป็นตัวกูของกู

จึงเป็นทุกข์เป็นร้อนกันไปทั่วหล้า

ด้วยไฟอันร้อนแรงแห่งอุปาทานทุกข์

จาก สัจจธรรม โดย พนมพร

         ข้อน่าสังเกตุเวลาพิจารณาธรรมเรื่องสังขารหรือธรรมในพระไตรลักษณะ    สังขารเท่านั้นที่อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์ทั้ง๓  ที่ไม่เที่ยง(อนิจจัง)  ทนอยู่ไม่ได้เป็นทุกข์(ทุกขัง) และอนัตตา,     ส่วนธรรม,สภาวะธรรมหรือธรรมชาตินั้น อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์เพียงข้อเดียว คือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง  แต่ธรรมหรือธรรมชาติทั้งหลายนั้นเที่ยง จึงคงทนต่อทุกกาล อยู่เยี่ยงนั้นเอง

จาก การดับลงแห่งอัตตา โดย ท่านพุทธทาส

..........ตัวอย่างเช่น ในการทำอานาปานสติภาวนา   เมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิได้ ก็เกิดสุขเวทนาขึ้นมาจากสมาธิ    ถ้ามีสติสัมปชัญญะเพียงพอ คือมีการกระทำที่ถูกวิธีอยู่ตลอดเวลานั้น จิตก็ไม่อาจจะเกิดความรู้สึกว่ามี "ตัวตน"   มีแต่การที่จะพิจารณาต่อไป ว่าแม้ความสุขที่เกิดจากสมาธิก็เป็นมายา คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา  "อัตตา" ก็ยังไม่อาจจะเกิดขึ้นได้    ส่วนในกรณีที่เผลอสติ หรือทำผิดวิธีนั้น ก็จะพอใจอย่างหลงใหลในสุขเวทนา  นั้น   หรือถึงกับเกิดความรู้สึกทะนงว่า ตนประสบผลสำเร็จในคุณวิเศษแล้ว "ตัวเรา-ของเรา" ก็ย่อมจะเกิดขึ้นมาอีก   อย่างนี้จะไปโทษสมาธิไม่ถูก   เพราะว่าในขณะนั้นไม่เป็นสมาธิที่ถูกต้องเสียแล้ว..............

จาก เมื่อเกิดทุกข์แล้ว ควรทำอย่างไร โดย พนมพร

          หรือพิจารณาการเกิดของทั้งเวทนาและเวทนูปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันโดยพิจารณาจาก การปาก้อนหินลงนํ้า  ผิวนํ้าที่ปกติสงบราบคาบ  เมื่อปาก้อนหินหนึ่งลงไปในนํ้า   จะสังเกตุเห็นการเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบกับผิวนํ้าของระลอกคลื่นเป็นวงจรทะยอยแผ่ออกไป  และค่อยๆจางคลายแผ่วเบาลงไปเป็นลำดับเป็นธรรมดา  แต่ถ้าในขณะที่ระลอกคลื่นยังไม่สงบดับลงไปนั้น  ยังมีการพริ้วเป็นระลอกอยู่บ้างนั้น  ก็ปาก้อนหินก้อนใหม่ใกล้ๆที่เดิมลงไป   ย่อมเกิดระลอกคลื่นใหม่ขึ้นไปผสมปนเปหักล้างหรือเสริมกับระลอกคลื่นเดิมนั้นอย่างจริงแท้ที่สุด   และยังทะยอยปาก้อนหินลงไปเยี่ยงนั้นเรื่อยๆก็จะเห็นระลอกคลื่นที่แปรปรวนปนเปเสริมแต่งหักล้างจนไร้รูปกระบวนขึ้นเรื่อยๆ   ยิ่งถี่บ่อยยาวนานเท่าใดก็ย่อมเกิดระลอกมากและรุนแรงและยาวนานเท่านั้น    สิ่งเหล่านี้ก็เปรียบได้ดังจิตของปุถุชนที่ตามปกติก็สงบดุจดังผิวนํ้า มีระลอกเพียงเล็กน้อยตามธรรมชาติ    แต่เมื่อเกิดการกระทบ(ผัสสะ)ไม่ว่าจากเหตุปัจจัยภายนอกหรือภายใน ก็ตามที   ย่อมเกิดเวทนาขึ้น อันเป็นไปดุจระลอกคลื่นเป็นธรรมดา   ขณะที่เวทนาหรือระลอกคลื่นกำลังเกิดอยู่นั้น แต่ล้วนกำลังแผ่ซ่านและจางคลายลงไปนั้นโดยธรรมชาติหรือพระไตรลักษณ์    ก็เกิดการคิดปรุงแต่งขึ้นอุปมาดั่งการปาก้อนหินลงไปต่อเนื่องนั่นเอง  จิตย่อมเกิดระลอกคลื่นที่หวั่นไหวมากขึ้นและยาวนานขึ้นเป็นลำดับ  เฉกเช่นเดียวกัน  กล่าวคือ ผิวนํ้าทั้งผืนผิวหรือจิตจึงไม่สามารถสงบราบคาบลงไปได้  เกิดการกระเพื่อมหวั่นไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา

Please download Java(tm).

คลิกที่รูปได้

          โยนิโสมนสิการ  การปาก้อนหินลงไปในนํ้าแล้วเกิดระลอกคลื่นนั้น  ก็เป็นไปดังจิตที่เมื่อเกิดธรรมารมณ์หรือความคิดกระทบใจย่อมต้องเกิดเวทนาเช่นกัน กล่าวคือ ย่อมคล้ายดั่งการเกิดระลอกคลื่นดุจเดียวกัน   ทั้งสองต่างล้วนเป็นสภาวะธรรม หรือธรรมชาติ อันเป็นอสังขตธรรม จึงเที่ยงแท้และคงทน   หรือต้องเป็นไปดังนี้เป็นธรรมดา    พิจารณาต่อไปว่า เมื่อต้องการให้ผิวนํ้านั้นสงบราบคาบลงต้องทำเยี่ยงไร  กล่าวคือ เพียงหยุดการกระทำหรือการปา หรือหยุดการคิดปรุงแต่งด้วยความอยากหรือยึดนั้นเสีย อันเกิดขึ้นด้วยความเคยชินคึกคะนองตามที่สั่งสมไว้  ด้วยการอุเบกขาวางทีเฉยไม่แทรกแซงเข้าไปปาก้อนหินลงนํ้าใหม่หรือหยุดคิดปรุงแต่งขึ้นใหม่อีกเท่านั้น จึงจะสงบหยุดระลอกเหล่านั้นได้      ส่วนระลอกคลื่นหรือเวทนาที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้  ยังคงต้องเกิดมีเป็นเช่นนั้นเองเป็นธรรมดา  แล้วจางคลาย สลายดับไปเป็นธรรมดาอีกเช่นกันดุจระลอกคลื่นนั่นเอง  เพราะเมื่อถูกปรุงแต่งขึ้นแล้ว ล้วนเป็นเพียงสังขารหรือสังขตธรรม อันไม่เที่ยงและคงทนอยู่ไม่ได้

จาก บุญ กับ กุศล โดย ท่านพุทธทาส

 ...........ในการเจริญสมาธิ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก คือ สมาธิเอาบุญก็ได้   เอากุศลก็ได้   สมาธิเพื่อดูนั่นดูนี่   ติดต่อกับคนโน้นคนนี้ที่โลกอื่น ตามที่ตนกระหาย   จะทำให้เก่งกว่าคนอื่น   หรือสมาธิเพื่อการไปเกิดในภพนั้น ภพนี้   อย่างนี้เรียกว่า สมาธิเอาบุญ หรือ ได้บุญ   เพราะทำใจให้ฟู ให้พอง ตามความหมายของมันนั่นเอง(webmaster-บุญ แปลว่า ความใจฟู ความอิ่มเอิบ) ซึ่งเป็นของที่ปรากฏว่า ทำอันตรายแก่เจ้าของถึงกับต้องรับการรักษาเป็นพิเศษ  หรือรักษาไม่หายจนตลอดชีวิตก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะว่าสมาธิเช่นนี้ มีตัณหาและทิฎฐิเป็นสมุฎฐาน (webmaster-เป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท คือ ตัณหา และ ทิฏฐิที่หมายถึงทิฏฐุปาทานอันคืออุปาทาน จึงต้องเกิดทุกข์ในที่สุด) แม้จะได้ผลอย่างดีที่สุด ก็เพียงได้เกิดในวัฏสงสารตามที่ตนปรารถนาเท่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน    ส่วนสมาธิที่มีความมุ่งหมาย  เพื่อการบังคับใจตัวเองให้อยู่ในอำนาจ เพื่อกวาดล้างกิเลสอันกลุ้มรุมจิตให้ราบเตียน  ข่มขี่มิจฉาทิฎฐิอันจรมาในปริมณฑลของจิต  ทำจิตให้ผ่องใส   เป็นทางเกิดของวิปัสสนาปัญญา   อันดิ่งไปยังนิพพาน เช่นนี้เรียกว่า สมาธิได้กุศล ไม่ทำอันตรายใคร   ไม่ต้องหาหมอรักษา  ไม่หลงวนเวียนในวัฎสงสาร จึงตรงกันข้ามจากสมาธิเอาบุญ

จาก อตุโล ไม่มีใดเทียม โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล   (หน้า ๔๖๙)

.........ในทางปฏิบัติที่ว่า ปฏิบัติจิต ปฏิบัติใจ โดยให้ใจอยู่กับใจนี้ ก็คือให้มีสติกํากับใจให้เป็นสติถาวร ไม่ใช่เป็นสติคล้ายๆ หลอดไฟที่จวนจะขาด เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง  แต่ให้มันสว่างติดต่อกันไปตลอดเวลา   เมื่อสติมันติดต่อกัน(webmaster- สัมมาสมาธิ)ไปอย่างนี้แล้ว   ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา"  ตัวรู้ก็คือ "สติ" นั่นเอง หรือจะเรียกว่า "พุทโธ" ก็ได้   พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือตัวสตนั่นแหละ (น.๔๖๙)

จาก สัจจธรรม โดย พนมพร

ไตรลักษณ์

เพราะไม่เที่ยง   เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา   จึงเป็นทุกข์

เพราะคงทนอยู่ไม่ได้   เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา   จึงเป็นทุกข์

เพราะไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนแท้จริง   เกิดแต่เหตุปัจจัย   จึงควบคุมบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้   จึงเป็นทุกข์

        ทั้งไม่เที่ยง   ทั้งคงทนอยู่ไม่ได้   ทั้งไม่มีแก่นแกนถาวรอย่างแท้จริง   ดังนั้นถ้าไปอยากหรือไปยึดว่าเป็นของตัวของตน  ย่อมเกิดอุปาทานทุกข์อันเผาลนเร่าร้อนเป็นที่สุด

จาก ทุกข์  โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

.........เราพิจารณาทางวิปัสสนา  มันต้องเป็นอย่างนั้น  ต้องยกขันธ์ขึ้น  คือยกกองทุกข์ขึ้น    อันของไม่มีนั้นไม่ใช่วิปัสสนา  เงียบสงบไปหมดเลย   ว่างเปล่าสูญหมด   เอาอะไรมาพิจารณา  ไม่มีเรื่องพิจารณา  พิจารณาสูญก็เลยสูญไปหมด   สูญไม่ทราบอะไรต่ออะไร  ว่างก็เลยว่างหมด  ไม่ทราบอะไรต่ออะไร  เงียบไปหมดไม่มีอะไร   แล้วจะเอาอะไรมาพิจารณา    เมื่อไม่มีเรื่องพิจารณา  ปัญญามันก็ไม่เกิด   มันก็ไปสงบอยู่เฉยๆ   ความสงบนี้ไม่ใช่มันอยู่ไปตลอดชีวิต  ไปสักครู่สักพัก สักชั่วโมงสองชั่วโมงอย่างดีที่สุด  กลับออกมาก็ของเก่า  ทุกข์ทั้งหลายมีอยู่อย่างไรก็มีอยู่เท่าเก่า    ถ้าหากไม่ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างว่านี้แล้ว  ไม่เข้าถึงสัจจะของจริง  ไม่เห็นของจริง  อย่างดีที่สุดเมื่อทุกข์มากๆ  ก็เข้าไปสงบหลบหลีกทุกข์เสีย    ท่านพูดไว้อีกนัยหนึ่ง  ผู้ชอบความสงบคือหลบทุกข์  ไม่ใช่นักสู้นักรบ  ผู้ที่ต่อสู้คือวิปัสสนาค้นคว้าอย่างอธิบายมาแล้ว  นั่นเป็นนักสู้นักรบ  สู้รบมันต้องประจัญหน้ากันกับข้าศึก  แพ้ชนะมันจึงค่อยเห็น..........................

        ทุกข์มันมีอยู่ตลอดเวลา   ทุกข์เพราะหิวกระหาย   ทุกข์เพราะเจ็บป่วย   ทุกข์เพราะความทะเยอทะยานดิ้นรน อยากได้นั่นอยากได้นี่   ทุกข์เพราะความกังวลเกี่ยวข้องพัวพัน กลุ้มอกกลุ้มใจ   ทุกข์ที่เป็นนามธรรม(webmaster - ธรรมารมณ์อันสัมผัสด้วยใจ)   ทุกข์ที่เป็นรูป ก็ทุกข์เพราะหิวกระหาย  กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง ทุกอย่างที่มากระทบ   เพราะสัมผัสมันมีอยู่    ประสาทมันยังไม่ทันดับยังไม่ทันตาย    สิ่งทั้งหลายจะต้องมากระทบอยู่ตลอดเวลา   จะหนีทุกข์พ้นที่ไหนได้  ไปไม่พ้นหรอก   จึงว่าใครจะทิ้งทุกข์ก็ทิ้งไม่ได้  มีชีวิตอยู่ตราบใดก็ยังมีทุกข์อยู่ตราบนั้น    พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน   พระอริยสงฆ์สาวกก็เหมือนกัน     ถึงแม้ท่านจะพิจารณาเห็นทุกข์แล้ว   ทุกข์ก็ยังอยู่เหมือนเดิม   ท่านก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน  แต่ว่าทุกข์มาแล้วไม่สามารถมารบกวนท่านได้   ด้วยเหตุที่ท่านเห็นชัดตามเป็นจริงดังอธิบายมานั้น..........................

หลักเกณฑ์การปฏิบัติสมาธิ - ปัญญา

(๓ พฤษภาคม ๒๕๔๑)  โดย พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

        ".........หลักใหญ่ให้จิตสงบได้นั้นแหละของดี   เพียงจิตสงบเท่านั้นก็ตัดความกังวลวุ่นวาย   ซึ่งเคยประจำจิตเสียดแทงจิตออกได้โดยลำดับลำดา  จนถึงกับเป็นขั้นสบาย   เพราะฉนั้นผู้ภาวนาเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว จึงมักขี้เกียจในการพิจารณาธรรมทั้งหลายด้วยปัญญา   นอนจมอยู่กับสมาธินั้นเสียไม่ออกพินิจพิจารณา  สุดท้ายก็เข้าใจว่าความรู้ที่แน่วแน่แห่งความเป็นสมาธิของตนนั้นเป็นมรรคผลนิพพานไปเลย   ในข้อนี้ผมเคยเป็นแล้ว  จึงได้นำมาอธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ   ว่าสมาธิต้องเป็นสมาธิ   ปัญญาต้องเป็นปัญญา   เป็นคนละสัดเป็นคนละส่วน  เป็นคนละอันจริงๆ  ไม่ใช่อันเดียวกัน   หากเป็นอยู่ในจิตอันเดียวกันนั่นแล  เป็นแต่เพียงไม่เหมือนกัน..........ผู้ที่เป็นสมาธิ  ถ้าไม่ออกพิจารณาทางด้านปัญญา  จะเป็นสมาธิอย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งวันตาย  ก็หาเป็นนิพพานได้ไม่  หาเป็นปัญญาได้ไม่.....ฯ "

จะทำมั้ยเล่า...ถ้าทำจริง  ก็ได้จริง  โดย หลวงปู่ทา  จารุธัมโม

........อย่าเผลอไปในกิจการงานของผู้อื่นโดยส่วนเดียว   ให้เหลียวแลกิจการงานของตนด้วย  เอาอย่างแม่โคคอยเลี้ยงลูกอ่อน  ตาก็สำเหนียกคอยดูลูก  คอยระวังป้องกันรักษาภัย  ทั้งปากก็กัดหญ้าเคี้ยวกลืนเรื่อยรํ่าไป  ทั้งท้องของตนก็อิ่ม  ทั้งลูกของตนก็พ้นภัย  การเจริญศีลเจริญธรรมเป็นหน้าที่ส่วนของตน  ขอจงอย่าละเลย

การดับลงแห่งอัตตา โดย ท่านพุทธทาส

        ตัวอย่างเช่น ในการทำอานาปานสติภาวนา เมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิได้ ก็เกิดสุขเวทนาขึ้นมาจากสมาธิ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเพียงพอ คือมีการกระทำที่ถูกวิธีอยู่ตลอดเวลานั้น จิตก็ไม่อาจจะเกิดความรู้สึกว่ามี "ตัวตน" มีแต่การที่จะพิจารณาต่อไป ว่าแม้ความสุขที่เกิดจากสมาธิก็เป็นมายา คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา "อัตตา" ก็ยังไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ ส่วนในกรณีที่เผลอสติ หรือทำผิดวิธีนั้น ก็จะพอใจอย่างหลงใหลในสุขเวทนานั้น หรือถึงกับเกิดความรู้สึกทะนงว่า ตนประสบผลสำเร็จในคุณวิเศษแล้ว "ตัวเรา-ของเรา" ก็ย่อมจะเกิดขึ้นมาอีก  อย่างนี้จะไปโทษสมาธิไม่ถูก เพราะว่าในขณะนั้นไม่เป็นสมาธิที่ถูกต้องเสียแล้ว

จาก เทสรังสีอนุสรณาลัย เรื่อง สิ้นโลก เหลือธรรม (นัยที่สอง)  โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

         จิต คือ ผู้คิดผู้นึกในอารมณ์ต่างๆ ที่รวมเรียกว่ากิเลสอันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมองนั่นเอง  จึงต้องฝึกหัดให้มีสติระวังควบคุมจิต  ให้รู้เท่าทันจิต  ซึ่งคำนี้เป็นโวหารของพระกรรมฐานโดยเฉพาะ  คำว่า " รู้เท่า " คือ สติรู้จิตอยู่ ไม่ขาดไม่เกินยิ่งหย่อนกว่ากัน  สติกับจิตเท่าๆกันนั่นเอง  คำว่า " รู้ทัน " คือ สติทันจิตว่าคิดอะไร  พอจิตคิดนึก  สติก็รู้สึกทันที เรียกว่า " รู้ทัน "   แต่ถ้าจิตคิดแล้วจึงรู้นี้เรียกว่า " รู้ตาม " อย่างนี้เรียกว่าไม่ทันจิต  ถ้าทันจิตแล้ว  พอจิตคิดนึก  สติจะรู้ทันที  ไม่ก่อนไม่หลัง  ความคิดของจิตก็จะสงบทันที.................(Webmaster - หมายถึงการ รู้เท่า รู้ทัน อย่างบังเกิดดผลยิ่ง   และก็มิได้ขัดแย้งกับการปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ แต่ประการใด  ในสติปัฏฐาน ๔ที่ให้รู้ทันขณะเกิดบ้าง แปรปรวนบ้าง ดับไปแล้วบ้าง คือรู้ทันบ้าง รู้ตามบ้าง ระลึกรู้ภายหลังบ้าง เพราะเป็นการฝึกฝนปฏิบัติอยู่อันย่อมมิสามารถรู้เท่าทันได้ทั้งหมดเป็นธรรมดา จึงต้องรู้ตามบ้าง ระลึกรู้ภายหลังบ้าง เป็นธรรมดา  แต่ก็ยังให้เกิดปัญญาเข้าใจในพระไตรลักษณ์)...........(หน้า ๙๓)

         ขอสรุปใจความย่อๆ ในหนังสือเล่มนี้ว่า  พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ได้ศึกษาเรื่องจิต-ใจยังไม่เข้าใจแจ้งชัด  ขอได้โปรดอย่าไปสอนสานุศิษย์ทั้งหลาย  เพราะอาจเป็นบ้าเป็นบอไปก็ได้  ขายขี้หน้าพาหิรกะภายนอกศาสนา  เพราะศาสนาพุทธสอนให้เข้าถึงจิต-ใจ  แต่ผู้สอนไม่เข้าถึงจิต-ใจ  จึงทำให้ลูกศิษย์เห็นผิด  เกิดวิปลาสเป็นบ้าไปต่างๆนานา  แล้วก็ทอดทิ้งให้ระเกะระกะอยู่ทั่วไป  ผู้เขียน(หมายถึงหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)ได้ประสบเรื่องนี้มามากแล้ว  ถ้าผู้นั้นยังพอมีสติอยู่ ก็พอพูดกันรู้เรื่องบ้าง  ถ้าเป็นมาก ก็พูดไม่รู้เรื่องกัน  แล้วก็เลยพากันทอดทิ้งกันหมด  น่าสงสารจริงๆ  พุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงจิต-ใจ  ให้มีสติควบคุมจิตของตนให้เป็นคนดีเรียบร้อย  แต่ว่าผู้สอนกลับสอนตรงกันข้าม  จึงเป็นหนทางให้เสื่อมพุทธศาสนา  คนภายนอกเลยพากันเห็นว่า พุทธศาสนาสอนคนให้เป็นบ้า.........(หน้า ๑๐๒)

พนมพร

          ชีวิตก็อุปมาดั่งเทียนไข  เมื่อจุดหรือเกิดขึ้นแล้วย่อมสว่างไสว อย่างแปรปรวน ตามเหตุปัจจัยภายในเอง และแม้แต่เหตุปัจจัยภายนอกที่จรมากระทำ เช่น ลม  จึงล้วนมีอาการไม่เที่ยงแปรปรวนด้วยเหตุอันหนึ่งอันใดก็ดี อยู่ตลอดเวลา   จนถึงที่สุดของการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง คือ การดับไป ไม่ว่าจากเหตุปัจจัยภายในเองที่หมดหรือดับไป  หรือแม้แต่เหตุปัจจัยภายนอกมากระทำให้ดับไปชั่วขณะ เช่น ลมพัดให้ดับไป  กล่าวคือ มีทั้งความโชติช่วงอย่างแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา หรือมืนมนดั่งยามต้องลมพายุดับไป  แต่ในที่สุดแล้วย่อมถูกใช้หรือแปรปรวนจนถึงที่สุดจนหมดความเป็นตัวตนของตัวของเทียนไขไปในที่สุด  อันเป็นไปดั่งชีวิตเช่นกัน

บางส่วนจาก มรดกของพุทธทาส  โดย ท่านพุทธทาส

มรดกที่ ๔๗. ตรัสว่า แต่ก่อนก็ดี บัดนี้ก็ดี เราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์ กับความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เท่านั้น  ดังนั้น พวกเรา อย่าต้องเสียเวลา ในการศึกษา การถาม การเถียง กันด้วยเรื่องอื่นที่มิใช่สองเรื่องนี้ กันอีกเลย.

มรดกที่ ๔๙. การมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ปรุงขึ้นตามทรรศนะ ของบุคคลนั้นๆ ทำให้ เป็นปัญหามาก และไม่ถูก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์จริง ซึ่งมีหัวใจ เป็นความ สะอาด - สว่าง - สงบ เพราะ ว่างจากกลิ่นไอ และ ความหมายแห่ง ตัวกู - ของกู

มรดกที่ ๕๐. ไสยศาสตร์ คือ ลัทธิหลับ (ด้วยอวิชชา) พุทธศาสตร์ คือ ลัทธิตื่นจากหลับ (ประกอบอยู่ด้วยวิชชา) ดังนั้น จงระวังการกระทำ ที่เกี่ยวกับพระพุทธรูป หรือ พระเครื่อง; เพราะมีได้ทั้งที่เป็นพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ แล้วแต่ว่า ผู้นั้น ทำไปด้วยวิชชา หรือ ด้วยอวิชชาอุปาทาน.

มรดกที่ ๕๒. สิ่งที่เรียกกันว่า "ตัวตน" นั้น เป็นเพียงมายา คือ เป็นเพียงความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในใจ อันปรุงแต่งขึ้นมาจากตัณหา หรือ ความอยาก ด้วยอำนาจอวิชชา ที่เกิดขึ้นในจิต โดยธรรมชาติ อัตโนมัติ, เป็นเพียงความรู้สึกผิดๆ ของสิ่งที่เรียกว่า อุปาทาน อันเกิดมาจากตัณหา มิได้เป็นตัวตนอันแท้จริง เป็นเพียงความรู้สึกลมๆ แล้งๆ แต่ก็มีความเข้มข้น จนผู้รู้สึก รู้สึกว่า เป็นตัวตน.

มรดกที่ ๖๓. ธรรมะ เป็นสิ่งที่ อธิบายยาก เพราะ คำพูดของมนุษย์ มีไม่พอ คือไม่มี คำ สำหรับใช้กับ สิ่งที่มนุษย์ ยังไม่เคยรู้จัก มาก่อน; ดังนั้น จึงต้อง พยายามพูด และ พยายามฟัง จนเข้าใจ หรือ รู้จัก โดยความหมาย ทั้งใน ภาษาคน และ ภาษาธรรม พร้อมกันไป.

มรดกที่ ๖๘. โลกทั้งหมดสำเร็จ อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะ เรามีตา ฯลฯ โลกจึงมี และ เกิดกรณีต่างๆ ที่เป็นปัญหาขึ้น เพราะ ไม่รู้ความจริง ของ เรื่อง ตา ฯลฯ หรือ โลก อย่างถูกต้องนั่นเอง.

มรดกที่ ๖๙. ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายเกิดทุกข์ เกิดขึ้นทุกคราวที่จิตมีตัณหา คือ โง่ เมื่อมีผัสสะโง่ เวทนาโง่ เพราะอำนาจของอวิชชาจนเกิดตัณหา หรือ มีกิเลสครองงำ; ดังนั้น ระวังอย่าโง่  เมื่อมีผัสสะใดๆ ให้ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายทุกข์ เกิดขึ้น.

มรดกที่ ๗๐. ปฏิจจสมุปบาท มีขึ้นรอบหนึ่ง ทุกครั้ง ที่มีการสัมผัสอารมณ์ ด้วยอวิชชา หรือพูดได้ว่า ทุกครั้ง ที่มี จิตเศร้าหมอง ด้วยการปรุงแต่ง ของอวิชชา มิใช่มี อย่างคร่อมภพ คร่อมชาติ ถึงกับ ปฏิจจสมุปบาท รอบเดียว คร่อมชาติ สามชาติ เหมือนที่ แนะนำสั่งสอนกัน อยู่โดยมาก จนกลายเป็น สัสสตทิฎฐิ ไป.

มรดกที่ ๗๑. การปฏิบัติ ที่ดูเหมือนมิได้ปฏิบัติอะไรเลย คือ การปฏิบัติทางจิตใจ ให้รู้สึกพอใจอยู่ในความว่างจากตัวตนของตน กระทำหน้าที่ทุกอย่าง กลมกลืนอยู่กับกฏของธรรมชาติ ทำงานเพื่อหน้าที่ มิใช่ทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวกู-ของกู.

มรดกที่ ๗๕. เรามี นรก สวรรค์ หรือ นิพพาน ชนิดที่เป็น สันทิฎฐิโก ที่สัมผัสได้กันที่นี่ กันดีกว่า จริงกว่า กว่าชนิด ที่คิดว่า จะมีกัน ต่อเมื่อตายแล้ว ซึ่งพระพุทธองค์ ตรัสเรียกว่า อายตนิกนิริยะ อายตนิกสัคคะ และ สันทิฎฐิกนิพพาน ขอให้รู้จักกันไว้ให้ดี ๆ เถิด จะได้เป็นพุทธบริษัท สมชื่อ.

มรดกที่ ๗๗. กฏเกณฑ์ เกี่ยวกับ ลำดับชั้น ของ นิวรณ์ - กิเลส - อนุสัย - อาสวะ ที่ควรรู้จัก คือ เกิดโลภ ครั้งหนึ่ง ก็สะสม ราคานุสัย ไว้หน่วยหนึ่ง, เกิดโกรธครั้งหนึ่ง ก็สะสม ปฏิฆานุสัย ไว้หน่วยหนึ่ง, เกิดหลงครั้งหนึ่ง ก็สะสม อวิชชานุสัย ไว้หน่วยหนึ่ง, สำหรับจะเกิดกิเลสนั้นๆ ได้โดยง่าย สะสมไว้ในสันดาน กลายเป็นอาสวะ สำหรับจะกลับออกมาเป็นกิเลส หรือ เป็นเพียงนิวรณ์ ก็ได้ แล้วแต่กรณี

มรดกที่ ๗๘. กามารมณ์ หรือ เพศรส คือ ค่าจ้างของธรรมชาติ เพื่อให้สัตว์ทำการสืบพันธุ์ อันเป็นสิ่งเหน็ดเหนื่อย - น่าเกลียด - สกปรก, ยากที่สัตว์จะหลีกเลี่ยงได้ แม้จะเป็นเพียงค่าจ้าง ที่เป็นอาการบ้าวูบเดียว.

มรดกที่ ๘๐. อย่าเข้าไปเฝ้า พระพุทธองค์ ในลักษณะ ที่ท่าน ทรงทนนั่ง ต้อนรับไม่ไหว เพราะเต็มไปด้วย สัญญลักษณ์ แห่งไสยศาสตร์ และ ความมี ตัวกู - ของกู ถึงขนาด ยกหู ชูหาง มีท่าทาง แห่งการยกตน ข่มผู้อื่น

มรดกที่ ๘๗. เรื่อง กรรม ที่ถูกต้องแท้จริง ในพุทธศาสนา คือ เรื่อง กรรม ไม่ดำ ไม่ขาว เป็นที่สิ้นสุด แห่งกรรมดำ กรรมขาว คือ เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ เป็นไปเพื่อนิพพาน ส่วนเดียว เพียงแต่สอนว่า ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่ว นั้น ยังมิใช่ของ พุทธแท้ เพราะมีสอนกัน อยู่ก่อนพุทธกาล แต่ก็ยังคง เรียกว่า กรรมวาที ได้เหมือนกัน เป็น เรื่องกรรมครึ่งเดียว ไม่สมบูรณ์.

มรดกที่ ๘๘. ปรมัตถธรรมต้องกลับมา เพื่อเป็น รากฐาน ของศีลธรรม ซึ่งบอก แต่เพียงว่า ให้ทำอย่างไร แต่ไม่ได้บอกว่า เหตุไร จึงต้อง ทำอย่างนั้น และยังบอกอะไรอื่น อีกบางอย่าง เพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ในการกระทำนั้น ดังนั้น จงสนใจใน ปรมัตถธรรม กันให้เพียงพอเถิด เพื่อความสมบูรณ์ แห่งการมีศีลธรรม.

มรดกที่ ๙๒. การเกิดทางวิญญาณ ในขณะแห่งปฏิจจสมุปบาท ที่คนไม่รู้จัก นั้นมีทุกคราว ที่คนสัมผัสอารมณ์ ด้วยอวิชชา แล้วเกิดตัณหา มิใช่หมายถึง การเกิดหนเดียว ตายหนเดียว ซึ่งเป็นการเกิด ฝ่ายรูปธรรม ดังที่เข้าใจกัน แล้วก็ ไม่อาจจะเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท.

มรดกที่ ๙๓. การบรรลุธรรม หรือมีธรรม นั้น ไม่ได้หมายความว่า ต้องเรียนอภิธรรม - กินแต่ผัก - ห่มจีวรกรัก - แบกกลด - ถือไม้เท้ายาว - พูดเบาๆ - เดินค่อยๆ - แขวนลูกประคำ  เป็นต้น แต่บรรลุ หรือ มีได้ด้วยการปฏิบัติ ให้ถูกต้องตาม กฏอิทัปปัจจยตา ของสีล - สมาธิ - ปัญญา.

มรดกที่ ๙๕. ความทุกข์สอนอะไรๆ ให้เราได้ดีกว่าความสุข คือ สอนตรงกว่า - มากกว่า - รุนแรงกว่า;  ความสุข มีแต่ทำให้ลืมตัว เหลิงเจิ้งไม่ทันรู้ และ ไม่ค่อยสอนอะไร.  ขอขอบใจ ความทุกข์ ซึ่งเป็นเสมือน "เพชร" ในหัวคางคก.

มรดกที่ ๙๘. ขอย้ำเรื่องนรก-สวรรค์ที่แท้ ในพุทธศาสนา อีกครั้งหนึ่ง ว่า ได้แก่ ผลที่ได้รับจากการกระทำผิด หรือ กระทำถูกทางอายตนะ เมื่อมีผัสสะ ที่ ตา - หู - จมูก - ลิ้น - กาย - ใจ อันกำลังรู้สึกอยู่ในจิต ที่นี่ และเดี๋ยวนี้  นรกใต้ดิน หรือสวรรค์บนฟ้า ต่อตายแล้ว ที่กล่าวกัน มาแต่ก่อนพุทธกาลนั้น  ขึ้นอยู่กับ นรกสวรรค์ ที่แท้ ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ 

มรดกที่ ๑๐๐. หัวใจพุทธศาสนาสำหรับคนทั่วไป ทั้งที่กำลังปฏิบัติ และที่เสร็จการปฏิบัติแล้ว นั้น คือ สัจจธรรมที่ว่า "สิ่งทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น โดยความเป็น ตัวตน - ของตน" ทุกคนต้องปฏิบัติสิ่งนี้ และได้รับผลของสิ่งนี้

มรดกที่ ๑๐๑. ชาติในปฏิจจสมุปบาท คือ การเกิดทางจิต - ทางวิญญาณ  อันจะมีขึ้น ทุกคราว ที่มีความรู้สึกเป็น ตัวกู - ของกู เกิดขึ้นมาในจิต และเป็นทุกข์ทางใจ อย่างหนักหน่วง ทุกคราวที่เกิด; ส่วนชาติทางกายนั้น มีครั้งเดียว มีครั้งเดียว จนกว่าจะเข้าโลง และ มีทุกข์ทางกาย พอสถานประมาณ ไม่ทรมานมาก เหมือนทางจิต

มรดกที่ ๑๐๒. ทำบุญด้วยปาก (ธรรมทาน) ได้บุญ มากกว่า ทำด้วยของ (วัตถุทาน)  แต่คนส่วนมากทำไม่ได้ เพราะ เต็มอัด อยู่ด้วย ความทุกข์ มืดมนท์ ยิ่งกว่าตาบอด พูดเรื่องดับทุกข์ ไม่เป็น, พูดเป็นแต่เรื่อง การจมอยู่ในโลก ซึ่งมิใช่เรื่องธรรมทาน เพื่อให้มีจิตใจอยู่เหนือโลก ทั้งที่กายอยู่ในโลก, ขอให้ทุกคน เลื่อนระดับ การทำทานของตน ให้ขึ้นมา อยู่ในระดับ ที่เรียกว่า ธรรมทาน.

มรดกที่ ๑๐๘. ศึกษา หรือ สิกขา ตามความเห็นของข้าพเจ้า คือ การรู้จักตัวเอง - เห็นตัวเอง - ด้วยตัวเอง - ในตัวเอง - เพื่อตัวเอง อย่างแจ่มชัด ถูกต้อง และสมมบูรณ์ จนทำให้เกิด ประโยชน์สูงสุด แก่ทุกฝ่าย.

มรดกที่ ๑๐๙. ความริษยา คือ ไฟเงียบ ที่จะเผาลน จิตใจของผู้มีมัน เหมือนตกนรกทั้งเป็น ตั้งแต่ต้น จนตลอดเวลา ทั้งที่ผู้ถูกริษยา ไม่รู้สึกอะไรเลย ตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้น จะทำไปทำไม? คุ้มค่ากันที่ตรงไหน?

มรดกที่ ๑๑๑. ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งที่ต้องควบคุม ให้ดีๆ มันจะเกิด เป็นนรกขึ้นมา เมื่อมีการปฏิบัติผิด  และ จะเกิดเป็น สวรรค์ ขึ้นมา เมื่อมีการปฏิบัติถูก ณ ที่นั้นๆ จงจัดการกับ ตา ฯลฯ ใจ ให้ถูกต้อง ในเมื่อมีการสัมผัส ณ ที่นั้น ๆ จนเป็นสวรรค์อยู่ได้ จนตลอดเวลาเถิด จะเป็นพุทธบริษัท โดยสมบูรณ์ อยู่ในขั้นต้น.

มรดกที่ ๑๑๓. การบรรลุ มรรคผล นิพพาน มิได้มีไว้ เพื่อบอก ให้ผู้อื่นทราบ และแม้ที่จะรู้เอง ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า บรรลุขั้นไหนเท่าไร เพียงแต่รู้ว่า ทุกข์กำลังดับไป ๆ จนกว่า จะหมดสิ้น ก็พอแล้ว เหมือนรองเท้าสึก ก็รู้ว่าสึก (จนกว่าจะใช้ไม่ได้) ก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่า มันสึกกี่มิล ในวันหนึ่งๆ.

มรดกที่ ๑๑๔. ความสุขที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ต้องได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องเสียสตางค์ เหมือนดั่งที่ตรัสว่า ถอนความรู้สึกว่า ตัวตนเสียได้แล้ว ก็ได้นิพพานมาเปล่าๆ ไม่ต้องเสียมูลค่าอะไร  ส่วนความสุขเทียม หรือ ความเพลิดเพลิน ที่หลอกลวง นั้น ใช้เงินซื้อมาเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ จนตัวตาย ก็ไม่พบ กับความสุขที่แท้จริง.

มรดกที่ ๑๑๙. ต้องศึกษาเรื่องดับทุกข์ จากร่างกายที่ยังเป็นๆ มิใช่จากสมุดพระไตรปิฏกในตู้,  นี้ถือเอา ตามคำตรัส ที่ตรัสว่า โลก เหตุให้เกิดโลก ความดับสนิทแห่งโลก และ ทางให้ถึงความดับสนิทนั้น ตถาคต กล่าวว่า มีอยู่พร้อมในกายอันยาววาหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสัญญาและใจ (คือยังเป็นๆ).

มรดกที่ ๑๒๐. ยิ่งเรียนพระไตรปิฏก แล้วยิ่งวนเวียน ไม่บรรลุธรรมะ   ก็ต้องเปลี่ยนไป เรียนที่ขันธ์ห้าโดยตรง จนรู้จักการ เกิด - ดับ แห่งอุปาทาน ว่าตัวกู - ของกู อันมีอยู่ใน ขันธ์ห้า นั้น จนเป็น ภาวนามยปัญญา ตัดอุปาทาน นั้นได้.

ไม่ยึดดี ไม่ยึดชั่ว  ไม่ยึดบุญ ไม่ยึดบาป

         มิได้มีความหมายว่า ไม่ทำดี ไม่ทำบุญ แต่ประการใด   เพราะกรรมดีย่อมส่งผลดี หรือกรรมวิบากที่ดีอย่างแน่นอน    แต่หมายถึงในทางปรมัตถ์ ที่หมายความว่า ถึงแม้ทำบุญ ทำดี ประการใดก็ตาม  อันย่อมได้รับผลของกรรมหรือกรรมวิบากไปตามนั้นในที่สุดก็จริงอยู่   แต่ถ้าไปยึดมั่นหมายมั่นหรือหวังผลตอบแทนซ่อนเร้นอยู่เสียแล้ว  แม้แต่กรรมดีเหล่านั้นก็ล้วนก่อให้เป็นทุกข์เร่าร้อนเช่นกัน.

พนมพร

ยอมรับตามความเป็นจริงแห่งธรรม

          เมื่อเกิดการผัสสะขึ้นแล้ว  ย่อมเกิดเวทนาเหล่าหนึ่งเหล่าใดขึ้นเป็นไปตามธรรม(ชาติ) ซึ่งเมื่อยังไม่เท่าทัน ย่อมยังให้เกิดตัณหา อันยังให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้นนั่นเอง   ดังนั้นจึงไม่ประมาท   สังวร  สำรวม  ระวัง ในอายตนะทั้ง ๖ หรือทวารทั้ง ๖ ไม่ฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งภายนอก จนเกิดการผัสสะขึ้น

อย่าพยายามดับเวทนา  โดย พนมพร

           โดยปกติ นั้นเมื่อเกิดสุขเวทนาขึ้นก็ติดเพลิดเพลินไปกับมัน  เมื่อเกิดทุกขเวทนาก็ผลักไส ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้มี ไม่อยากให้เป็น   จึงมีการพยายามปฏิบัติดับเวทนา โดยเฉพาะทุกขเวทนากันไปด้วยวิธีการต่างๆนาๆ   ตามความเป็นจริงแล้วมันเกิดอย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้นโดยธรรม  ไม่สามารถไปดับมันได้  จะห้ามไม่ให้รู้สึกรู้สาย่อมเป็นไปไม่ได้  เป็นสภาวธรรมชาติของชีวิตในการรับรู้สิ่งที่มาผัสสะเป็นธรรมดา   ถ้าไปยุ่งกับเขา ก็ยิ่งเกิดการปรุงแต่งต่างๆนาๆอันยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้นไปอีกโดยไม่รู้ตัว   เราจึงทำเพียงแต่รู้เท่าทันในเวทนาเหล่านั้น   แล้วตั้งจิตมั่น หยุดคิดนึกปรุงแต่งสืบต่อไปเท่านั้นเอง  จึงเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง  เวทนาเป็นขันธ์ เป็นอนัตตา เป็นอิสระจากเรา ไม่ใข่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงควบคุมบังคับเพื่อดับเพื่อหยุดเขาโดยตรงไม่ได้

          ทุกขเวทนาก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่งก็จริงอยู่  แต่เป็นทุกข์ธรรมชาติ  ยังไม่เป็นทุกข์อุปาทานที่แสนเร่าร้อนเผาลน   พระองค์ท่านสอนให้  " รู้ " ที่หมายถึงรู้เข้าใจและรู้เท่าทันเท่านั้น   แล้วไม่ต้องไปทำอะไรกับเขา  เพียงอุเบกขา ที่หมายถึง เป็นกลางวางทีเฉย ไม่ใช่ต้องรู้สึกเฉยๆ  รู้สึกอย่างไรก็ยังเป็นเยี่ยงนั้นไปตามธรรม(ชาติ)  แต่วางทีเฉยโดยการไม่เอนเอียงไปแทรกแซงด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆ  หรือการหยุดการคิดนึกปรุงแต่งนั่นเอง  เขาก็ต้องค่อยๆจางคลาย...จางคลาย...จางคลาย...ดับลงไปเอง ตามกฏพระไตรลักษณ์ อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล

          สุขเวทนาก็เป็นสุขอย่างหนึ่งก็จริงอยู่  แต่เป็นสุขทางโลก เป็นสังขารอย่างหนึ่ง จึงมีความไม่เที่ยง คงอยู่ไม่ได้  และยังเก็บจำสั่งสมเป็นอาสวะกิเลส อันย่อมยังให้กำเริบเสิบสานขึ้นไหม่ในภายหน้า

 จาก เทสรังสีอนุสรณาลัย  เรื่อง "สิ้นโลก เหลือธรรม (นัยที่สอง)"  

โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (หน้า ๙๓)  ได้กล่าวถึงเรื่อง สติ ไว้ดังนี้

         "จิต คือ ผู้คิดผู้นึกในอารมณ์ต่างๆ ที่รวมเรียกว่ากิเลสอันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมองนั่นเอง  จึงต้องฝึกหัดให้มีสติระวังควบคุมจิต  ให้รู้เท่าทันจิต  ซึ่งคำนี้เป็นโวหารของพระกรรมฐานโดยเฉพาะ   คำว่า " รู้เท่า " คือ สติรู้จิตอยู่ ไม่ขาดไม่เกินยิ่งหย่อนกว่ากัน  สติกับจิตเท่าๆกันนั่นเอง  คำว่า " รู้ทัน " คือ สติทันจิตว่าคิดอะไร  พอจิตคิดนึก  สติก็รู้สึกทันที เรียกว่า " รู้ทัน "   แต่ถ้าจิตคิดแล้วจึงรู้นี้เรียกว่า " รู้ตาม " อย่างนี้เรียกว่าไม่ทันจิต  ถ้าทันจิตแล้ว  พอจิตคิดนึก  สติจะรู้ทันที  ไม่ก่อนไม่หลัง  ความคิดของจิตก็จะสงบทันที............"

ตามรู้จิต ไม่อยู่   รู้เท่ารู้ทันจิต จึงอยู่

โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

            จิต ผู้คิดปรุงแต่งสัญญาอารมณ์ต่าง ๆ เหลือที่จะคณานับ  บางทีก็เป็นประโยชน์ บางทีก็ไร้ประโยชน์  ทำให้เกิดสับสนวุ่นวายไม่สบายใจของผู้คิดนึกเป็นอันมากเหมือนกัน  จิตที่คิดนึกเอาแต่อารมณ์อันเดียวจนแน่วแน่ที่เรียกว่าสมาธิ  อันนั้น(ที่นำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณา-webmaster)ย่อมเกิดปัญญาพิจารณาหาเหตุผลว่าสิ่งนี้ควรทำแลไม่ควรทำ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง อันนี้ต้องทำสมาธิให้หนักแน่น จับตัวผู้รู้(สติ-webmaster)ให้อยู่เสียก่อน แล้วจึงจะรู้เท่าอาการของจิตที่นึกคิดไปในสิ่งต่าง ๆ(ฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่ง--webmaster) ซึ่งไม่มีขอบเขต ถ้าทำสมาธิไม่หนักแน่น จับตัวผู้รู้(สติ)ไม่ได้  จิตผู้คิดนึกนั้นจะเตลิดเปิดเปิงไปไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ นั่นมิใช่ปัญญา แต่เป็นสัญญาของสามัญชนทั่วไป  จึงมีคำเรียกว่า ตามรู้จิตไม่ถึงตัวจิตสักที เหมือนกับคนตามรอยโค  ต้องรู้เท่ารู้ทันตัวจิต จิตจึงจะอยู่แล้วรวมเข้ามาเป็นใจ มีแต่ผู้รู้อยู่เฉย ๆ ไม่มีการปรุงแต่งสัญญาอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

หลวงพ่อชา สุภัทโธ

... ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา ให้มีสติอยู่ ให้เห็นการเกิดดับของกายและใจ (เป็นการเห็นด้วยปัญญา-webmaster )แต่อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวาย ให้ปล่อยวางมันไป ความรักเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป มันมาจากไหน ก็ให้มันกลับไปที่นั่น ความโลภเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป ตามมันไป ตามดูว่ามันอยู่ที่ไหนแล้วตามไปส่งมันให้ถึงที่ อย่าเก็บมันไว้สักอย่าง ถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างนี้ ท่านก็จะเหมือนกับบ้านว่าง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่คือใจว่าง เป็นใจที่ว่างและอิสระจากกิเลส ความชั่วทั้งหลาย เราเรียกว่า "ใจว่าง"  แต่ไม่ใช่ว่าว่างเหมือนว่าไม่มีอะไร  มันว่างจากกิเลส แต่เต็มไปด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญา จะมีแต่ปัญญาเท่านั้น

สติ ระลึกรู้เท่าทันระดับใดที่ยังผลอันยิ่ง

อุปมาดั่ง สติระลึกรู้เท่าทันว่า  ๒ x ๒ =  เท่าใด,   สติระลึกรู้เท่าทันก็ฉันนั้น  อันจักให้ผลยิ่ง

อนึ่งพึงระลึกรู้ว่า

สติระลึกรู้เท่าทันว่า ดังนี้  ๒ x ๒ =  ๔, เป็นสติที่ประกอบด้วยปัญญาอันยิ่ง  อันยังให้วิชชานั้นบริบูรณ์

สติระลึกรู้เท่าทันว่าดังนี้  ๒ x ๒ =  ๖, เป็นสติที่ประกอบด้วยมิจฉาญาณหรือมิจฉาทิฏฐิ  อันยังให้เกิดความเดือดร้อนในที่สุด

 (พนมพร)

ข้อสังเกตุ

จิต กระทบหรือผัสสะกับ อารมณ์ ใด  ย่อมต้องเกิดเวทนาต่ออารมณ์นั้นตามธรรม

จิตไปยึดสิ่งใดเป็นอารมณ์หรือสิ่งกำหนดหมาย

จิตย่อมไหลเลื่อนหรือไปรับรู้หรือเกิดเวทนาตามอารมณ์นั้นๆตามธรรม

ความแรงเข้มเด่นชัดของเวทนาหรือสุขทุกข์

จึงขึ้นอยู่กับความแรงเข้มของการไปยึดหรือไปกำหนดในอารมณ์นั้น  นั่นเอง

(พนมพร)

โลกุตตรสุข สุขอันยิ่ง

เหตุที่กล่าวว่า นิโรธหรือสุขจากการหลุดพ้นจากกองกิเลส เป็นความสุขอันยิ่ง เนื่องจากความเป็นสุขที่

สุข  สะอาด  สงบ  บริสุทธิ์

เป็น สุข ที่ต่างจากสุขทางโลกหรือโลกียสุข

ที่ต้องสร้างทุกข์ขึ้นมาเสียก่อน  แล้วต้องแสวงหาหรือหาทางสนองเพื่อดับลงไป

สะอาด เพราะไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาหรืออามิส

สงบ เพราะไม่เร่าร้อนเผาลนด้วยไฟของการแสวงหา

บริสุทธิ์ เพราะไม่มีสิ่งตกค้างนอนเนื่องของกิเลส(อาสวะกิเลส) จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ขึ้นอีก

พนมพร

ตทังคนิพพาน

ตทังคนิพพาน  เมื่อเกิดธรรมสามัคคีใดๆขึ้น ปุถุชนพึงสามารถสัมผัสตทังคนิพพานได้ด้วยตนเอง

และสามารถน้อมเป็นอุปสมานุสติ ในอนุสติ ๑๐ ได้

พนมพร

ให้เห็นความคิด  ไม่ใช่หยุดคิด

    กล่าวคือ

เห็นความคิดที่จักก่อทุกข์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน(มโนกรรม)  แล้วอุเบกขาเสีย

ส่วนความคิด(ธรรมารมณ์)ในกิจหรืองานอันควร  ก็ดำเนินไปตามปกติ  แต่ระวังไม่คิดหรือฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งในมโนกรรม

พนมพร

พุทธศาสนา สอนอะไร

พุทธศาสนา สอนเรื่องทุกข์  มิได้ให้เป็นไปเพื่อทุกข์

แต่เป็นไป เพื่อใช้ในการการดับทุกข์

ท่านจึงกล่าวไว้ว่า เราตถาคต สอนแต่เรื่องทุกข์และการดับไปแห่งทุกข์เท่านั้น

พนมพร

สังขาร

        สังขารทั้งหลายทั้งปวง ที่หมายถึง สิ่งปรุงแต่งหรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น จึงล้วนมีสภาวธรรมดังนี้   ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยหรือปฏิจจสมุปบันธรรม ๑   จึงมีสามัญญลักษณะประจำตัวที่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่อย่างไม่เที่ยงแปรปรวนไปมา(อนิจจัง) ๑   จนดับไปเป็นที่สุดเพราะคงสภาพอยู่ไม่ได้(ทุกขัง) ๑   จึงล้วนเป็นเหตุให้ไม่มีตัวตน ของตนจริง(อนัตตา) ๑

        ด้วยสามัญญลักษณะหรือลักษณะโดยทั่วไปของสังขาร ดังนี้นี่เอง  จึงก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ที่ไปอยากด้วยตัณหา  หรือไปยึดไว้ด้วยอุปาทาน

หรือ

        สังขาร สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นทั้งหลายทั้งปวง จึงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย มาประชุมปรุงแต่งกัน จึงเกิดขึ้น  เพียงแลดูประหนึ่งว่าเป็นสิ่งๆเดียว  แต่โดยปรมัตถ์แล้วประกอบด้วยเหตุหรือสิ่งต่างๆหลายๆสิ่ง มาประชุมเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้น  ด้วยเหตุดังนี้นี่เองจึงไม่ใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง  จึงต่างล้วนมีความไม่สมบูรณ์แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในตัวตนของมันเอง  จึงล้วนเกิดขึ้นมาพร้อมด้วยสภาพหรือสามัญญลักษณะประจำตัวที่มี ความไม่เที่ยงกล่าวคือ มีอาการแปรปรวนไปต่างๆนาๆ,  เป็นทุกข์ กล่าวคือ เพราะแปรปรวนจึงคงทนอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปเป็นที่สุด,  เป็นอนัตตา กล่าวคือ จึงไม่มีตัวตนที่ถาวรหรือไม่มีตัวตนที่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง   จึงก่อทุกข์โทษภัยให้แก่ผู้ที่ไปอยากด้วยตัณหาหรือผู้ที่ไปยึดไว้ด้วยอุปาทาน  ว่าเป็นตัวตนหรือของตัวของตน

หรือ

        สังขารทั้งปวง ล้วนมีเหตุ มาเป็นปัจจัยกัน  จึงไม่เที่ยง  ทนอยู่ได้ยากด้วยคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์  จึงเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนแท้จริง  ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เราหรือของเราอย่างแท้จริง

พนมพร

        หลักปฏิบัติ แนวอริยสัจ ๔ โดยย่อ

ทุกข์ให้รู้  สมุทัยให้ละ  นิโรธทำให้แจ้ง  มรรคให้ปฏิบัติ

        แต่เมื่อปฏิบัติกาลกลับตาลปัตรไปเสียว่า  ทุกข์ไม่อยากรู้  สมุทัยหรือตัณหาไม่อยากละ  นิโรธก็ไม่แจ้งไปยึดเอารูปราคะ อรูปราคะ  มรรคก็ไม่ปฏิบัติ

 

ข้อคิด แนวทางการปฏิบัติ

หลักปฏิบัติ สมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)

- ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง  มีแต่สติหรือจิตตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์ อันมีกำลังยิ่ง

หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)

- ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง  มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล อันยังปัญญายิ่ง

หลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา

- ปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)เป็นกำลังแล้ว เจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน) จึงยังทั้งกำลังและปัญญาอันยิ่งขึ้น

พนมพร

จูฬมาลุงโกยวาทสูตร

พระไตรปิฏก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๓

             [๑๕๑] ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง(๑) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกไม่เที่ยง(๒) ดังนี้ จักไม่มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ หรือแม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง หรือว่า โลกไม่เที่ยงอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความ เพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด(๓) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า โลกไม่มีที่สุด(๔) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด หรือว่า โลกไม่มีที่สุดอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความ เพิกถอนชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น(๕) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง(๖) ดังนี้ จักได้มีการประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น  หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่งอยู่   ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมี อยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ในปัจจุบัน.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่(๗) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็มิใช่อย่างนั้น.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่(๘) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่  หรือว่าสัตว์เบื้องหน้า แต่ตายไปไม่มีอยู่ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็คงมีอยู่ ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอน ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ในปัจจุบัน.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี(๙) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็ไม่ใช่  ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่(๑๐) ดังนี้ จักได้มีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือ แม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่.

             ดูกรมาลุงกยบุตร เมื่อยังมีทิฏฐิว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี หรือว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ ดังนี้ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส ก็คงมีอยู่ทีเดียว เราจึงบัญญัติความเพิกถอน ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสในปัจจุบัน.

กล่าวคือ พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า ไม่ว่าจะมีความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความยึดอย่างไรก็ตามทีในเรื่องทั้ง ๑๐ ประการข้างต้นนั้น   ความทุกข์อันมี ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส ก็ยังคงต้องมีอยู่ในทุกๆชาติไป ทั้ง ๑๐ นั้นนั่นเอง  ท่านจึงหมายบัญญัติให้เพิกถอนชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อุปายาส ในปัจจุบันชาตินี้  ไม่ไปเชื่อ, ไม่ไปรอคอย, ไม่ไปมุ่งหวังในชาติหน้าหรือชาติไหนๆก็ตามที  จึงไม่ต้องไปสนใจว่าจะมีหรือไม่มี  เอามันในปัจจุบันที่หมายถึงชาติปัจจุบันนี้นี่แหละ ที่แน่นอน  ดังนั้นการไปหวังในชาติหน้าแต่ฝ่ายเดียวจึงยังเป็นเรื่องที่ไม่ถูกทางอยู่อย่างมาก

พระไตรลักษณ์

    สังขาร เกิดขึ้นมาแต่ มีเหตุต่างๆหรือก็คือสิ่งต่างๆ  มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้น   ดังนั้นฆนะมวลรวมหรือกลุ่มก้อนที่เห็นล้วนคือมายาให้เห็นผิดไปจากความจริง คือไม่ใช่สิ่งๆเดียวหรือชิ้นเดียวกันแท้จริง จึงมีสภาวะของแรงบีบเค้นขึ้นโดยธรรมหรือธรรมชาติต่อสังขาร เพื่อให้คืนสู่สภาพเดิมหรือธรรมชาติเดิมแท้ก่อนการปรุงแต่ง   จึงทำให้เกิดสภาวะของอนิจจังหรือความไม่เที่ยงเกิดขึ้น คือเกิดการแปรปรวนต่างๆจากอำนาจของแรงบีบเค้นนั้นๆขึ้นเป็นธรรมดา

    เมื่อไม่เที่ยงแล้ว คือมีอาการของการแปรปรวนไปมา  ในที่สุดย่อมมาถึงที่สุดของอาการแปรปรวน คือทุกขัง สภาวะที่ทนอยู่ไม่ได้อีกต่อไป จึงดับไปเป็นที่สุด

    สังขารทั้งปวงจึงล้วนอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตน หรือไม่มีตัวตนแท้จริง เป็นเพียงมายาของกลุ่มก้อนที่ปรุงแต่งกันขึ้น ดังกล่าวข้างต้น   ส่วนอสังขตธรรมนั้นก็เป็นเพียงธรรมหรือนามธรรมและยังไม่เกิดปรากฏการณ์ขึ้น ของการที่มีเหตุต่างๆ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้น ให้เป็นตัวเป็นตนเป็นผลขึ้นแต่อย่างใด  จึงเป็นอนัตตาอยู่โดยธรรมหรือโดยในที  ด้วยเหตุดังนี้   ธรรมทั้งปวงจึงล้วนอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตน หรือไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง

พนมพร

 

ว่าด้วยสังขารและอสังขตธรรม

 สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง   สังขารทั้งปวงทนอยู่ไม่ได้จึงดับไป   สังขารทั้งปวงล้วนอนัตตาไม่มีตัวตน อย่างแท้จริง

อสังขตธรรมทั้งปวงล้วนเที่ยง   อสังขตธรรมทั้งปวงล้วนอกาลิโกจึงทนต่อทุกกาลเวลา   อสังขตธรรมทั้งปวงล้วนอนัตตาไม่มีตัวตน แท้จริงเฉกเช่นสังขาร

(ถ้ายังสงสัยในคำกล่าวนี้  ขอให้โยนิโสมนสิการโดยแยบคายในบท พระไตรลักษณ์ )

สุขเวทนา  เป็นสุขเพราะตั้งอยู่  เป็นทุกข์เพราะแปรไป

ทุกขเวทนา  เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่  เป็นสุขเพราะแปรไป

อทุกขมสุขเวทนา  เป็นสุขเพราะรู้ชอบ  เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.

(จูฬเวทัลลสูตร)

Google

 
ทั่วโลก ค้นหาเฉพาะใน"ปฏิจจสมุปบาท"

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ