|
|
ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นการแก้ไขหรือดับทุกข์
เมื่อมีเหตุแห่งทุกข์โคจรเข้ามากระทบ
กล่าวคือเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ย่อมมีเหตุแห่งทุกข์จรมากระทบบ้างเป็นธรรมดาโดยธรรมคือธรรมชาติ
และยังให้กำลังเป็นทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนด้วยไฟของกิเลส
ตัณหา
อุปาทาน
อันเนื่องสัมพันธ์กันเป็นไปตามปฏิจจสมุปบันธรรมจนเป็นอุปาทานทุกข์ที่แสนเร่าร้อนด้วยเวทนูปาทานขันธ์คือเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทานความยึดมั่นในกิเลสเพื่อความพึงพอใจของตัวตนเป็นสำคัญ
แต่จะเป็นการกล่าวถึงวิธีการแก้ไขอย่างโลกุตตระ
คืออย่างปรมัตถ์ตามความเป็นจริงอย่างสูงสุด
จึงย่อมมีอานิสงส์สูงสุด
ไม่มีวิธีการใดๆที่ดีกว่า หรือเหนือต่อจากนี้ไปได้อีกต่อไปแล้ว และเป็นที่สุดเมื่อเป็นมหาสติ เป็นการดับทุกข์อันเป็นไปตามหลักธรรมปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือดับที่เหตุอย่างปรมัตถ์ คือเป็นเหตุซึ่งอยู่ในวิสัย ไม่ใช่นอกวิสัย จึงย่อมมิใช่การดับทุกข์ชนิดดับที่ผล
ที่แก้ไขชั่วครั้งคราว เช่น ปลอบโยนด้วยถ้อยคำหรือภาษิต การแก้บน การสะเดาะเคราะห์
ตลอดจนการหวังเพียงบุญกุศลเพื่อแก้กรรมเท่านั้น ฯ. แต่เป็นการดับทุกข์ที่เหตุ
ด้วยสัมมาสติคือระลึกรู้เท่าทัน,สัมมาสมาธิคือตั้งใจมั่น
และสัมมาปัญญาคือระลึกรู้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
จึงมีกำลังอันยิ่ง
และเมื่อปฏิบัติโดยสม่ำเสมอย่อมยังให้เกิดการสั่งสมจนเป็นมหาสติในที่สุด อันเป็นการดับทุกข์อย่างถาวรไปในภายหน้าอีกด้วย และเป็นการดับทุกข์ที่เหตุอันอยู่ในวิสัยตนที่พึงปฏิบัติได้ จึงไม่เลื่อนลอยเพ้อเจ้อหรืองมงาย ซึ่งหากเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำก็ต้องกระทำหรือพึงแก้ไขในทางโลกไปด้วย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เข้าใจในปฏิจจสมุปบาทธรรม
หรือสติปัฏฐาน
๔ หรือขันธ์
๕ หรือเหตุปัจจัย
คือความมีเหตุเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
อย่างแจ่มแจ้งบ้างแล้ว ก็ย่อมยังผลอันยิ่งขึ้นไปด้วยปัญญา
ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจ และยอมรับตามความเป็นจริงเสียก่อน ในเรื่องความทุกข์ คือทุกขเวทนาในเวทนา ๓ นั่นเอง ที่จำแนกทุกขเวทนาได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. ทุกขเวทนา โดยธรรมหรือธรรมชาติ ที่ยังต้องคงมีอยู่เป็นธรรมชาติ ในทุกหมู่เหล่าแม้ในพระอริยเจ้า ที่ย่อมเกิดขึ้นเมื่อมีการผัสสะ เป็นสุขคือสุขเวทนา หรือเฉยๆคืออทุกขมสุขเวทนา(อุเบกขาเวทนา) และทุกข์คือทุกขเวทนาดังที่กล่าว เกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นธรรมดาหรือโดยธรรมชาติ ดังเช่นทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากความเย็นร้อน ความหิว ความกระหาย ปวดปัสสาวะ ปวดอุจจาระ ความเจ็บปวดต่างๆจากการกระทบต่างๆบ้าง คือจากผัสสะของอายตนะต่างๆ แม้กระทั่งทางใจจากความคิดนึกคือธรรมารมณ์ต่างๆ หรือทุกขเวทนาที่ย่อมเกิดขึ้นจากทุกขอริยสัจคือทุกข์ที่เป็นจริงอยู่อย่างนี้เอง จากการเกิด๑ การแก่๑ การเจ็บ๑ การตาย๑ การปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ในสิ่งนั้น๑ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก๑ หรือการประสบกับสิ่งที่ไม่รัก๑ กล่าวคือเมื่อทุกขอริยสัจเหล่าใดเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อใดแล้ว ล้วนย่อมยังให้เกิดทุกขเวทนาเป็นผล ที่เนื่องตามมาทุกครั้งทุกทีไปเป็นธรรมดา เมื่อทุกขเวทนาเป็นทุกข์โดยธรรมชาติ จึงหมายถึง ย่อมห้ามไม่ให้เกิด,ไม่ให้มี ไม่ได้ แต่แม้ว่าทุกขเวทนาดังนี้เป็นทุกข์อย่างหนึ่ง แม้หลีกหนีไม่ได้ ก็จริงอยู่ แต่ธรรมชาติของทุกขเวทนาเยี่ยงนี้ขาดเสียซึ่งความเร่าร้อนเผาลน และอาการหลงไปวนเวียนปรุงแต่งอย่างยาวนาน
๒.
ทุกขเวทนา ที่ประกอบด้วยอุปาทาน ที่เรียกว่าเวทนูปาทานขันธ์
เป็นทุกขเวทนาที่ไม่ถูกใจไม่ชอบใจ ไม่สบายกายไม่สบายใจดังข้างต้น แต่แปรปรวนไปด้วยการคิดนึกปรุงแต่ง,ด้วยตัณหา
อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสหรือตัณหา
เพื่อให้เป็นไปหรือเกิดขึ้นตามความพึงพอใจของตนเป็นสำคัญ กล่าวคือเป็นการดำเนินไปตามวงจรการเกิดขึ้นของทุกข์
ปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง นี้เป็นทุกข์ที่เรียกว่าอุปาทานทุกข์อันแสนเร่าร้อนเผาลนและมักถูกยึดไว้ให้วนเวียนอยู่ในกองทุกข์นั้น
นี้เองเป็นทุกข์ที่เราเล่าเรียนและเพียรปฏิบัติกันเพื่อการดับไป ที่สามารถดับไปได้ด้วยธรรมโอสถของพระองค์ท่าน
อันเป็นไปดังพุทธดำรัส ดังนี้
(พระไตรปิฎก เล่มที่๑๒/๒๘๖)
ที่หมายความว่า สิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นมีเพียง ๒ สิ่งนี้เท่านั้น คือเรื่องหรือเหตุของทุกข์๑ ก็เพื่อใช้ไปในการดับทุกข์อีก๑ และทุกข์ดังที่กล่าวในข้อ ๒ ข้างต้นนี้เอง ก็คือความทุกข์ที่พระองค์ท่านบัญญัติตรัสสอนเพื่อให้รู้ถึงเหตุของทุกข์ ก็เพื่อประโยชน์ไปในการดับทุกข์อุปาทานนี้ลงไป ส่วนทุกขเวทนาโดยธรรมชาติดังในข้อ ๑ นั้นก็ยังคงเกิดมีและเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ ที่เพียงให้ประกอบด้วยความมีสติปัญญา ก็เพื่อไม่ให้ทุกขเวทนาเหล่านั้นแปรผันไปด้วยตัณหาจนเป็นทุกขเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทานคือเวทนูปาทานขันธ์อันเร่าร้อนเผาลนในข้อ ๒ อีกเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อมีเหตุแห่งทุกข์คือเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์ อันเป็นสภาวะธรรมชาติจรมากระทบเข้าด้วยเหตุอันหนึ่งอันใดก็ดี ไม่ว่าจะด้วยสภาวธรรม หรือด้วยผลกรรม(กรรมวิบาก)ก็ตามที ย่อมต้องเกิดทุกขเวทนาขึ้นเป็นธรรมดา ตามสภาวธรรมหรือตามความเป็นจริงนั่นเอง จะไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็นนั้นเป็นไปไม่ได้ (ยกเว้นการกดข่มด้วยอำนาจของฌานสมาธิ อันได้เพียงครั้งคราว และก่อโทษในภายหลังถ้าเกิดการติดเพลินหรือนันทิ จึงมีการเข้าใจผิดคิดไปว่าปฏิบัติถูกต้องดีงาม จนกลายเป็นยึดติดหรือติดเพลินคือติดสุข,ติดสงบอยู่ในฌานสมาธิก็มีเป็นจำนวนมาก) แต่ทุกขเวทนาเหล่านั้นตามข้อ ๑. ตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติเดิมแท้ของทุกขเวทนานั้น แม้เป็นทุกข์แต่ไม่เร่าร้อนเผาลนและไม่ประกอบด้วยอาการวนเวียนยาวนานดุจดั่งทุกขเวทนาในอุปาทานทุกข์ ที่เรียกว่าเวทนูปาทานขันธ์ที่ย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนเมื่อประกอบด้วยตัณหาอุปาทานจนรู้สึกเร่าร้อนเผาลนทนไม่ได้กันอยู่ เพราะยังไม่รู้,ไม่เข้าใจว่าเป็นเวทนูปาทานขันธ์ของเหล่าอุปาทานทุกข์ที่กำลังวนเวียนปรุงแต่งกันอยู่ไม่หยุดหย่อน และทุกขเวทนาที่ไม่ประกอบด้วยอุปาทานนั้น มีลักษณาการของการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วจางคลาย ดับไปไม่วนเวียนเร่าร้อนเผาลนยาวนาน เหมือนการอยู่ในกองทุกข์ของเวทนูปาทานขันธ์ในอุปาทานทุกข์ แต่เพราะความเป็นทุกข์ธรรมชาติจึงเที่ยงและคงทน จึงต้องเกิดต้องเป็นไปเช่นนี้เอง สภาวะดังนี้เป็นสภาวะที่ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง มิฉนั้นก็จะเกิดสภาพดิ้นรนทุรนทุรายจนปรุงแต่งทุกขเวทนาขึ้นจนเป็นเวทนูปาทานขันธ์ในอุปาทานทุกข์ อันเนื่องจากการไปอยากด้วยวิภวตัณหาหรือไปยึดมั่นคืออุปาทานในทุกขเวทนาอันเกิดแต่ทุกข์ธรรมชาติอันจำเป็นต้องเกิดต้องมี และเป็นไปในการดำรงชีวิตด้วย
ที่กล่าวว่า ทุกข์ธรรมชาติยังคงต้องมี และเป็นไปเพื่อการดำเนินชีวิตอีกด้วย จะขอยกตัวอย่างให้ดูดังนี้ กายไปถูกไฟอันเป็นของร้อน ย่อมเกิดทุกขเวทนาเป็นไปตามธรรม ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจเป็นธรรมดา ทั้งต่อกายและใจ จนเกิดสังขารขันธ์การกระทำทางกาย คืออาการของการสะดุ้งออกจากไฟในทันที, พิจารณาโดยแยบคายว่าถ้าไม่มีทุกขเวทนานี้เกิดขึ้น ย่อมไม่มีความรู้สึกรับรู้ในการผัสสะหรือทุกขเวทนาอันเกิดแต่ไฟนั้น ย่อมไม่เกิดสังขารขันธ์ทางกายคือการสะดุ้งออกจากไฟ กายคือมือนั้นย่อมต้องถูกไฟไหม้อย่างรุนแรงไปเป็นจุลในที่สุด เพราะความไม่มีความรู้สึกรับรู้ในทุกข์นั้น(ทุกขเวทนา)นั่นเอง ทุกขเวทนาตามความเป็นจริงยิ่งแล้ว จึงมีคุณค่าเช่นกันในการดำรงชีวิต ไม่มีเสียก็ดำรงคงชีวิตอยู่ไม่ได้เลย, หรือดังทุกขเวทนาเพราะความกลัวอดอยาก จึงเกิดการขวยขวายทำมาหากิน
เพียงแต่ว่าเมื่อเกิดเวทนา ในที่นี้หมายถึง เมื่อเกิดทั้งแม้สุขหรือทุกขเวทนาเหล่านี้ขึ้นแล้ว อย่าปล่อยให้จิตดำเนินไปจนเกิดตัณหาขึ้น หรือละตัณหา โดยการมีสติตั้งมั่นและปัญญารู้เท่าทันในเวทนาหรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นนั้น แล้วถืออุเบกขา โดยการเป็นกลาง ด้วยการตั้งเจตนาอย่างตั้งมั่น ไม่เอนเอียงแทรกแซงด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้น ไม่ต้องปลอบโยนไม่ว่าในทางดีหรือชั่ว เราถูกเขาผิด เราผิดเขาถูก เราดีเขาชั่ว เขาชั่วเราดี บุญหรือบาป ฯ. ไม่พิรี้พิไรรำพันก็เพื่อไม่เปิดโอกาสให้จิตได้ถือโอกาสนั้นฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งอันย่อมเป็นเหตุปัจจัยที่ยังให้เกิดการสืบต่อเนื่องต่อไปอีกตามวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ปฏิจจสมุปบาท คือไม่เกิดเวทนาอื่นๆขึ้นจากความคิดปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านจนเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นอีก จึงไม่เกิดอุปาทานทุกข์ในชราอันเผาลนเร่าร้อนอย่างวนเวียนยาวนาน หรือแม้ที่เกิดขึ้นแล้วนั้นก็ย่อมต้องดับไปเพราะขาดเหตุก่อให้ต่อเนื่อง (ยกเว้นในขณะทำการเจริญวิปัสสนาเพื่อพิจารณาจริงๆ แต่ในขณะทุกข์รุมเร้าเผาลนอยู่นั้น ก็ไม่ต้องไปยึดแม้ธรรมที่เปรียบประดุจดั่งแพ) นี้เป็นวิธีปฏิบัติอย่างปรมัตถ์ที่สุด และอยู่ในวิสัยที่พึงกระทำได้ ที่ทำให้อุปาทานทุกข์นั้นเกิดขึ้นไม่ได้หรือตั้งอยู่ต่อไปไม่ได้ หรือเรียกว่าสภาพ "เหนือกรรม" กล่าวโดยสรุปคือ เมื่อปฏิบัติดังนี้ทุกขเวทนาโดยธรรมชาติเหล่าินั้นก็จะไม่แปรปรวนไปเป็นเวทนูปาทานขันธ์อันแสนเร่าร้อนวนเวียนและยาวนาน๑ หรือเวทนูปาทานขันธ์ในทุกข์อุปาทานที่เกิดขึ้นแล้วต้องจางคลายและดับไป๑ เป็นไปเพียง ๒ นี้เท่านั้น ไม่เป็นอื่นไปได้ ถ้าไม่ส่งจิตไปพัวพันได้อย่างมีสติ อย่างตั้งมั่น และมีปัญญาเข้าใจอย่างนี้อย่างแจ่มแจ้งด้วยเหตุด้วยผล
เมื่อเกิดทุกข์ ที่หมายถึงอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนกำลังเผาลนอยู่
ภาวะเช่นนี้เป็นภาวะที่กำลังเร่าร้อนเผาลนด้วยไฟอันร้อนแรงด้วยกำลังของเวทนูปาทานขันธ์
อันเกิดในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ในองค์ธรรมชราอย่างวนเวียนต่อเนื่องหรือไม่หยุดหย่อน
ดังวงจรแสดงกระบวนจิต ที่เป็นไปในขณะนั้นๆ ดังนี้
สังขารูปาทานขันธ์
เช่นคิดที่เป็นทุกข์ ในวงจรล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ เพราะล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว |
แสดงภาพวงจรของอุปาทานทุกข์ในชราที่เกิดขึ้นในวงจรปฏิจจสมุปบาท
ดังนั้นจึงต้องมีสติ กำหนดรู้ตามความเป็นจริงว่า กำลังอยู่ในกองทุกข์ของอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ อันคือ ความคิดปรุงแต่งหรือความคิดที่วนเวียนเกี่ยวเนื่องอยู่ในทุกข์นั้นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกครอบงำด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน ที่ย่อมล้วนเอนเอียงไปตามกำลังของกิเลสคือความปรารถนาหรืออุปาทานความยึดมั่นตามความพึงพอใจของตัวของตนเป็นใหญ่โดยไม่รู้ตัว จึงเกิดทุกขเวทนาขึ้นเช่นกันดังทุกข์ธรรมชาติข้างต้นแต่ให้ความรู้สึกที่รุนแรงเร่าร้อนกว่าด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน จึงเรียกเวทนาดังนี้ว่าเวทนูปาทานขันธ์ และยังไม่จบไปเพียงเท่านั้น เนื่องจากอำนาจดังกล่าวจึงยึดพัวพันไม่ปล่อยวางเกิดการคิดปรุงแต่งที่เนื่องสัมพันธ์กับทุกข์นั้นไปอย่างค่อนข้างต่อเนื่อง หรือต่อเนื่องกัน ทำให้เวทนูปาทานขันธ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์เร่าร้อนอันเกิดขึ้นจากความคิดแรกที่เกิดขึ้นแล้ว และตั้งอยู่อย่างแปรปรวน และกำลังจะดับไปด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์นั้น แต่ยังไม่ทันได้มอดดับลงไปโดยบริบูรณ์ ก็เกิดเวทนูปาทานขันธ์ของความคิดปรุงแต่งที่วนเวียนฟุ้งซ่านเกิดขึ้นอีก จึงไปเสริมคือไปต่อเนื่องกับเวทนูปาทานขันธ์เดิม ก่อนที่เวทนูปาทานขันธ์เดิมจะดับไปเป็นธรรมดานั้น....เป็นดังนี้ไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึก ราวกับว่าเป็นชิ้น,เป็นมวลเดียวกันของความทุกข์ ที่เกิดขึ้นจากการกระทบใจแต่ครั้งแรก ทั้งที่ตามความเป็นจริงอย่างปรมัตถ์แล้ว สังขารความคิดแรกที่กระทบแล้วทำให้เกิดทุกข์ขึ้นนั้นได้แปรปรวนดับไปเสียแล้วโดยไม่รู้ตัวด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์อันยิ่งใหญ่และยุติธรรมและมีความเที่ยงเป็นที่สุด แต่ที่ยังเร่าร้อนอยู่ในกองทุกข์อยู่นั้น ก็เนื่องจากเวทนูปาทานขันธ์อันเร่าร้อนพัวพันของคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านที่เกิดตามขึ้นมาอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์กันไปนั่นเอง อันเกิดขึ้นอุปมาดั่งหลอดไฟฟ้าที่เราใช้งานกันอยู่ ตามความเป็นจริงแล้วแสงจากหลอดไฟฟ้านั้น ทำงานแบบมีการเกิดดับ...เกิดดับ ๆ...อย่างต่อเนื่อง...อย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ตามความถี่ของกระแสไฟฟ้าสลับนั่นเอง แต่ตามนุษย์อันยังหยาบอยู่นั้น แลเห็นไปต่อเนื่องกัน ราวกับว่าเป็นแสงลำเดียวกันตลอดเวลานั่นเอง แต่ที่รู้เห็นเหล่านี้ได้ก็ด้วยปัญญาญาณ ในทางโลกหรือโลกิยะนั่นเองที่มีประโยชน์ต่อปัจจุบันขันธ์ หรือชีวิตในปัจจุบัน ความทุกข์ก็ฉันนั้นดุจดั่งแสงสว่างที่เกิดขึ้นนั้น ความจริงแล้วไม่เร่าร้อนมากนัก แต่เพราะการสั่งสมหรือสุมเข้าไปจนยิ่งร้อนยิ่งๆขึ้นไปด้วยทั้งไฟของตัณหาอุปาทาน ตลอดจนจากการวนเวียนฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ได้สังเกตุเห็นว่าเป็นไปดังนี้ ดังนี้ ด้วยอวิชชานั่นเอง
พึงพิจารณาการเกิดของทั้งเวทนาและเวทนูปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันเืนื่องจากการฟุ้งซ่านหรือวนเวียนคิดนึกปรุงแต่ง โดยพิจารณาคือโยนิโสมนสิการจาก การปาก้อนหินลงนํ้า ผิวนํ้าที่ปกติสงบราบคาบ มีแต่เพียงการพริ้วของผิวนํ้าเล็กน้อยบ้างตามธรรมหรือธรรมชาติ ดังเช่นแรงลม อันเปรียบประดุจเป็นเพียงทุกขเวทนาโดยธรรมชาติที่ยังคงต้องมีอยู่เป็นธรรมดา ไม่มีก็เป็นไปไม่ได้, แต่เมื่อปาหินหนึ่ง ลงไปในนํ้า จะสังเกตุเห็นการเกิดขึ้นของระลอกคลื่น เมื่อมีการกระทบสัมผัสกับผิวนํ้าเป็นวงจรทะยอยแผ่ออกไป และค่อยๆจางคลายแผ่วเบาลงไปเป็นลำดับเป็นธรรมดา โดยธรรมคือธรรมชาติ คือย่อมเกิดขึ้นดังนั้น จะไม่ให้เกิดระลอกพริ้วจากการกระทบก็ไม่สามารถทำได้ ดังนี้อุปมาได้ดั่ง ความคิดหรืออายตนะภายนอกทั้งหลายที่จรมากระทบจิตหรือใจ แต่ถ้าในขณะที่ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้น ยังไม่สงบราบเรียบหรือดับลงไป กล่าวคือกำลังจางคลายจะดับลงไป แต่ยังมีการพริ้วเป็นระลอกร่องรอยอยู่บ้างนั้น ก็เมื่อปาก้อนหินก้อนใหม่ลงไปใกล้ๆที่เดิม(เรื่องเดิมๆวนเวียนปรุงแต่ง) จึงย่อมเกิดระลอกคลื่นใหม่ขึ้นอีก ซึ่งย่อมมีทั้งไปผสมปนเปหักล้าง(ดังการปลอบโยนคือรำพันที่ระงับได้ขณะหนึ่งแต่แท้จริงแล้ว เป็นการปรุงแต่งวนเวียนอย่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว) ทั้งเสริมแต่ง(ดังเมื่อย่อมยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเพราะวนเวียนสั่งสมหรือสุมไฟมากขึ้น)กับระลอกคลื่นเดิมนั้นอย่างจริงแท้เป็นที่สุด ซึ่งถ้าหยุดเสียย่อมค่อยจางคลายและดับไปดุจดังระลอกคลื่นทั้งปวงนั่นเองคือดับทั้งแรงหักล้างหรือแรงเสริมแต่ง แต่ถ้ายังทะยอยปาก้อนหินลงไปเยี่ยงนั้นเรื่อยๆ ก็ย่อมต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่าต้องเกิดระลอกคลื่นที่แปรปรวนปนเปทั้งหักล้างทั้งเสริมแต่งกันขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถี่บ่อยยาวนานเท่าใด ก็ย่อมเกิดระลอกมากและรุนแรงและยาวนานเท่านั้น เป็นธรรมดา สิ่งเหล่านี้ก็เปรียบได้ดังจิตของปุถุชนที่ตามปกติก็สงบดุจดังผิวนํ้า อันพึงมีระลอกหรือทุกข์ธรรมชาติหรือทุกขเวทนาบ้างเป็นธรรมดาเป็นไปตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติ และเมื่อเกิดการกระทบ(ผัสสะ)ไม่ว่าจากเหตุปัจจัยภายนอกหรือภายในที่จรมาอย่างรุนแรง ก็ตามที ย่อมเกิดเวทนาขึ้นอันเป็นธรรมชาติของชีวิตทุกครั้งทุกทีไป อันเป็นไปดุจระลอกคลื่นอันเกิดแต่การกระทบกันของผิวนํ้าและวัสดุต่างๆเป็นธรรมดาทุกครั้งไป ขณะที่เวทนาหรือระลอกคลื่นเมื่อเกิดขึ้นนั้น ตั้งอยู่ แต่ล้วนกำลังแผ่ซ่านและจางคลายลงไปนั้นโดยธรรมชาติหรือพระไตรลักษณ์ ก็เกิดการคิดปรุงแต่งขึ้นอุปมาดั่งการปาก้อนหินลงไปในนํ้าอีก อย่างต่อเนื่องนั่นเอง ก็ย่อมเกิดปรากฏการณ์เป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ คือผิวนํ้าย่อมเกิดการกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่องกันขึ้นอีกเป็นธรรมดา พิจารณาหรือโยนิโสมนสิการให้เห็นความจริงยิ่งว่า เมื่อมีเหตุเป็นปัจจัยกันดังกล่าวแล้ว ระลอกคลื่นไม่เกิดขึ้นเป็นไปได้ไหม? จิตก็เป็นเฉกเช่นนั้น จิตจึงย่อมต้องกระเพื่อมหวั่นไหวอย่างต่อเนื่องด้วยเวทนาต่างๆที่เกิดขึ้นจากการคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านนั้นๆ ยิ่งถ้าเป็นทุกขเวทนาหรือเวทนูปาทานขันธ์ก็ยิ่งกระเพื่อมหวั่นไหวอย่างรุนแรงด้วยตัณหาอุปาทาน อุปมาดั่งปาก้อนหินใหญ่ลงไปนั่นเอง จึงรุนแรงเร่าร้อนและยาวนานเป็นลำดับ เฉกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ผิวนํ้าทั้งผืนผิวหรือจิตจึงไม่สามารถสงบราบเรียบลงไปได้ เกิดการกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นไปมาอย่างรุนแรงเผาร้อนต่อเนื่องยาวนาน
แสดงภาพของผิวน้ำเมื่อเกิดการกระทบย่อมเกิดระลอกคลื่น ที่อุปมาดั่งการกระเพื่อมของจิตเมื่อเกิดการกระทบคือผัสสะ
โยนิโสมนสิการ การปาก้อนหินลงไปในนํ้าแล้วเกิดระลอกคลื่นนั้น ก็เป็นไปดังจิตที่เมื่อเกิดธรรมารมณ์หรือความคิดกระทบใจย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้นเป็นระลอกเช่นกัน กล่าวคือ ย่อมคล้ายดั่งการเกิดระลอกคลื่นของนํ้าดุจเดียวกัน ทั้งสองต่างล้วนเป็นสภาวธรรม หรือธรรมชาติ อันเป็นอสังขตธรรม จึงเที่ยงแท้และคงทน คืออกาลิโก หรือต้องเป็นไปดังนี้เองเป็นธรรมดา ที่ต้องเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบหรือการผัสสะกันขึ้นเป็นธรรมดา ไม่เป็นอื่นไปได้ พิจารณาต่อไปว่า เมื่อต้องการให้ผิวนํ้านั้นสงบราบคาบลง ต้องทำเยี่ยงไร? กล่าวคือ เพียงหยุดการกระทำคือการปาก้อนหินลงไปกระทบกับผิวนํ้าเสียเท่านั้นเอง อันอยู่ในวิสัยและพึงกระทำได้ด้วยตน จิตก็เฉกเช่นนั้น กล่าวคือหยุดการกระทำ คือหยุดการคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านที่จะไปกระทบจิตด้วยความอยากหรือยึดนั้นเสีย อันเกิดขึ้นด้วยความเคยชินตามที่สั่งสมไว้มานานแต่เก่าก่อนด้วยอวิชชา ด้วยการอุเบกขาวางทีเฉยไม่แทรกแซงเข้าไปดุจดังการปาก้อนหินลงไปใหม่ หรือหยุดคิดปรุงแต่งขึ้นใหม่อีกเท่านั้น จึงจะสงบหยุดระลอกเหล่านั้นได้ ส่วนระลอกคลื่นหรือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น แม้ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรเขาได้ ยังคงต้องเกิดมีเป็นเช่นนั้นเองเป็นธรรมดา แต่แล้วย่อมจางคลาย สลาย...ดับไปเป็นธรรมดาอีกเช่นกันดุจระลอกคลื่นนั่นเอง เพราะเมื่อเป็นสังขารปรุงแต่งแล้ว ล้วนเป็นเพียงสังขารหรือสังขตธรรม อันไม่เที่ยงและคงทนอยู่ไม่ได้
พึงพิจารณาโดยแยบคาย มีผู้หนึ่งผู้ใดในใต้หล้านี้หรือไม่ ที่ปาก้อนหินลงนํ้าแล้วไม่เกิดระลอกคลื่นขึ้นได้ ดังนั้นการพยายามระงับไม่ให้เกิดระลอกคลื่นหรือระงับเวทนาไม่ให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดการกระทบผัสสะกันขึ้นแล้ว จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เกินวิสัยที่จะควบคุม เพราะล้วนเป็นไปตามธรรม หรือสภาวธรรม หรือธรรมชาตินั่นเอง จึงไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการไร้สาระและสูญเวลาเปล่าโดยสิ้นเชิง เกินวิสัยที่จะทำได้นั่นเอง จึงสมควรเพียงมีสติรู้เท่าทัน และรู้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา แล้วจึง ปล่อยวาง โดยการอุเบกขา รู้หรือยอมรับตามความเป็นจริง แล้วไม่เอนเอียงไม่แทรกแซงด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆ เฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับทุกข์นั้นๆ
ดังนั้นอาการของการวนเวียนปาก้อนหินลงน้ำ จึงเปรียบเทียบได้ดั่งอาการของการคิดนึกปรุงแต่งทั้งปวงนั่นเอง โดยเฉพาะในชราที่ยิ่งเร่าร้อนเผาลนยิ่งขึ้นๆไปอีก
..ตัณหา
→ อุปาทาน → ภพ → ชาติ → รูปูปาทานขันธ์
+ ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์
เช่นคิดที่เป็นทุกข์ |
ฟังดูแล้วปฏิบัติง่ายแสนง่าย แต่การณ์กลับไม่เป็นไปเช่นนั้น
เนื่องเพราะความเคยชินตามวิถีจิตของปุถุชนที่ได้สั่งสมอบรมมา(คือองค์ธรรมสังขาร
อันทำหน้าที่เป็นทั้งสังขารกิเลสและสังขารวิบาก
ในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั่นเอง)ด้วยอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริงนับตั้งแต่เกิดจวบจนตราบเท่าทุกวันนี้
หรือนานเสียจนไม่รู้ว่าสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น
จึงยิ่งใหญ่แก่กล้าด้วยกิเลสที่สั่งสมจึงเคยชินยิ่ง เพราะเป็นวิบากยิ่ง เป็นกิเลสยิ่ง
เป็นธรรมชาติของชีวิตยิ่ง จึงกระทำเยี่ยงนั้นเสมอๆโดยไม่รู้ตัว
และควบคุมไม่ได้อีกด้วยกำลังอันแรงกล้า
จึงคิดปรุงแต่งต่อไปหรือคิดสืบเนื่องไปเรื่อยๆเป็นธรรมดา
เหมือนดั่งการเพลิดเพลินในการดูระลอกคลื่นที่เกิดจากการปาก้อนหินลงนํ้านั่นเอง
หรือเหมือนยุงกัดย่อมยกมือขึ้นปัดโดยธรรมหรือธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทนูปาทานขันธ์อันคือ
เวทนาที่แฝงด้วยอุปาทานอันยึดมั่นติดเพลินลืมตัวด้วยกิเลสตัณหา
อุปาทาน
จึงสลัดออกได้ยากยิ่งอีก รู้ก็รู้อยู่ว่าต้องหยุดคิด
แต่หยุดไม่ได้ เพราะต้องประกอบด้วยสติ
อย่างตั้งมั่นคือสัมมาสมาธิ
และกำลังของปัญญา(สัมมาญาณ)ที่จักเกิดขึ้นได้จาการพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยตน
และจากการสั่งสมคือปฏิบัตินั่นเอง เพราะการหยุดคิดนึกปรุงแต่งคือฟุ้งซ่านหรือการอุเบกขานั้น
ทำได้ยากยิ่งนักในช่วงแรก ที่ย่อมทั้งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสัมมาญาณยังไม่พร้อมบริบูรณ์ถึงขั้นธรรมสามัคคี จึงต้องหมั่นสั่งสมอบรมให้กล้าแข็งยิ่งๆขึ้นไป ดังนั้นถ้าทุกข์เรื่องนั้นๆขณะนั้นๆรุมเร้าอย่างรุนแรงเร่าร้อนเสียจนไม่สามารถอุเบกขาได้
ก็อาจใช้อริยบถบดบังทุกข์(อยู่ในเรื่องพระไตรลักษณ์)เป็นครั้งคราว
เมื่อทุกขเวทนาหรือสุขเวทนานั้นแก่กล้ามาเยี่ยมเยือน โดยการเบี่ยงเบน บดบัง
หันไปกระทำกิจอย่างอื่นๆ หรือการเคลื่อนไหว เพื่อให้เกิดการแยกพราก แต่ก็ต้องไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างค่อนข้างสมํ่าเสมอและต่อเนื่องจนก่อเป็นสมถสมาธิ
อย่าปล่อยแช่นิ่งให้เลื่อนไหลไปปรุงแต่งแม้ปลอบโยนในกองทุกข์
โดยการคิดปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ เพราะมักเกิดขึ้นและเป็นไปดั่งนี้โดยขาดสติจึงไม่รู้ตัวว่า
กำลังคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านอย่างวับๆแวมๆยังมีอยู่
หรือไปอยู่กับการบริกรรม เช่น พุทโธ แบบมีสติ หมายความว่าทำในขณะใดก็ได้ แต่อย่างมีสติ อย่างต่อเนื่องที่เป็นสัมมาสมาธิในการวิปัสสนา ต้องเข้าใจว่า ไม่ได้ต้องการให้เกิดสมถสมาธิ,หรือฌานในระดับประณีตที่สงบสบายแต่ประการใด แต่ต้องการให้มีสติให้เป็นที่อยู่ของจิต เพื่อความระงับดำริพล่าน คือให้จิตมีที่ยึดเหนี่ยว ไม่ส่งออกไปปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ การบริกรรมนี้จึงต้องเป็นไปอย่างมีสติ ขอเน้นว่าไม่ได้ต้องการให้เลื่อนไหล,เคลิบเคลิ้ม,สงบ,สบายไปเป็นสมถะสมาธิหรือฌานแต่อย่างใด และไม่ใช่แค่ท่องเอาอย่างคล่องปากคล่องใจ แต่ต้องการให้สติอยู่กับพุทโธที่ พุทก็รู้ว่าพุท โธก็รู้ว่าโธ คือ พุท ขึ้นในใจก็ให้รู้ว่าพุท โธ ขึ้นในใจก็ให้รู้ว่าโธ อย่างมีสติ อาจเว้นจังหวะถี่ ยาว ตามสะดวกไม่ต้องสมํ่าเสมอก็ดี จะได้ไม่เลื่อนไหลเพราะคล่องปากคล่องใจ จนเข้าสู่สมาธิิหรือฌานในระดับประณีตอันไม่ยังผลดีในขณะปฏิบัติในวิถีจิตตามปกติธรรมดาเลย ขอให้มีสติเมื่อพุท เมื่อโธก็แล้วกัน หรือตามคำบริกรรมหรือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ก็ได้แนะวิธีดับความทุกข์หรือความโกรธที่รุมเร้าเป็นครั้งคราว ไว้ในลักษณะดังนี้เช่นกันใน เทสโกวาท (หน้า ๔๖)
อนึ่ง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น
เรากลั้นลมหายใจเสีย ความโกรธนั้นก็หายไป
แล้วจะเหลือแต่ใจเดิม คือความรู้สึกเฉยๆ
อย่าลืม ทำบ่อยๆ ก็เห็นใจเดิม
แล้วความโกรธก็ค่อยๆ หายไป
เหตุที่ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี กล่าวสอนไว้ดังนั้น ก็เพราะท่านเข้าใจดียิ่งด้วยปัญญาญาณหยั่งรู้ว่า ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นกายสังขารที่จำเป็นยิ่งในการดำรงขันธ์หรือชีวิต เมื่อกลั้นลมหายใจเสีย จิตจำยอมต้องทิ้งในสิ่งที่กำหนดอื่นๆ เช่นความคิดฟุ้งซ่าน หรือความโกรธนั้นๆ มากำหนดรู้ในกายสังขารลมหายใจที่กลั้นไว้นั้นๆ อันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการดำรงขันธ์หรือชีวิตจนไม่มีเสียไม่ได้เลยนั้น ความคิดปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านหรืออาการของความโกรธอันเป็นสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นเช่นกันอย่างหนึ่ง จึงย่อมเกิดแต่เหตุปัจจัยต่างๆ ดังนั้นเหตุปัจจัยที่สำคัญ ณ ขณะนั้นคืออาการของจิตที่คิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านที่ประกอบด้วยอาการของจิตคือโทสะอย่างไม่หยุดหย่อน จึงย่อมต้องระงับไปชั่วขณะระยะๆหนึ่ง เพราะการกลั้นลมหายใจนั้น อันเป็นการดำเนินไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมนั่นเอง ก็เพราะจิตย่อมจำต้องหยุดปรุงแต่งหักเห มาสนใจคือกำหนดรู้ในลมหายใจที่จำเป็นยิ่งจนไม่มีเสียก็ไม่ได้นั้นๆนั่นเอง จึงสามารถใช้ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งๆ ระยะหนึ่งๆ เป็นครั้งคราวหนึ่งๆได้ดียิ่ง แล้วต้องหยุดปรุงแต่งฟุ้งซ่านต่อไปกำกับหรือสำทับอีกครั้งหนึ่ง จึงจักสำเร็จประโยชน์ยิ่ง, แต่อย่าให้ถึงกับติดเพลินในการกลั้นลมหายใจเพื่อการดับทุกข์เสมอๆว่าเป็นทางดับทุกข์อย่างถาวร ยังเป็นเพื่อครั้งคราวอยู่ ต้องให้เกิดแต่ปัญญาเข้าใจแล้วในเหตุในผล แล้วอุเบกขาโดยอาการมหาสติจึงเป็นการถาวร จึงสามารถใช้เป็นครั้งคราวเมื่อทุกข์รุมเร้าอย่างรุนแรงแล้วสลัดไม่ออก คือหยุดคิดนึกปรุงแต่งฟุ้งซ่านคืออุเบกขาไม่ได้ด้วยกำลังตนเอง
ดังนั้นเมื่อรู้เข้าใจตามความเป็นจริงของเหตุปัจจัยที่ยังให้เกิดกองทุกข์ขึ้นแล้วดังกล่าวมาข้างต้น ก็ปฏิบัติตามธรรมที่ว่า "ธรรมหรือสิ่งใดล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับธรรมหรือสิ่งนั้นก็ดับไป" เหตุเกิดอย่างปรมัตถ์หรือตามความเป็นจริงขั้นสูงสุด ณ ขณะนั้นที่เกี่ยวข้องพัวพัน และเป็นเหตุที่อยู่ในวิสัยที่สามารถแก้ไขได้ ณ ปัจจุบัน ก็คือการคิดปรุงแต่งที่วนเวียนว่ายตายเกิดในขณะนั้น ไม่เพ้อเจ้อหรือไม่เลื่อนลอย อันล้วนอาจยังให้เกิดเวทนูปาทานขันธ์(เวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน)อันเร่าร้อนเผาลนวนเวียนอยู่เรื่อยๆนั่นเอง จึงต้องมีสติที่ตั้งมั่นป็นผู้ระลึกรู้เท่าทันในเวทนาหรือจิตที่เกิดขึ้น และสติที่รู้เท่าทันธรรมหรือปัญญาที่รู้เข้าใจในธรรมดังกล่าวอย่างแจ่มแจ้งจริงใจมั่นคงว่า ถ้าคิดปรุงแต่งก็ย่อมต้องเกิดอุปาทานทุกข์ดำเนินไปเช่นนั้นเอง ดุจดั่งการปาก้อนหินลงนํ้าย่อมต้องเกิดระลอกคลื่นหวั่นไหวขึ้นเป็นธรรมดา จึงเป็นเครื่องกำจัดหรือกำลังจิต ในการหยุดการปรุงแต่งเหล่านั้นลง โดยการอุเบกขา เหตุเกิดหรือเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการสืบต่อเนื่องก็หมดไป หรือหมดเหตุก่อ หรือใช้การบริกรรมอย่างมีสติจึงเป็นเหตุให้หยุดการปรุงแต่งลงก็เป็นไปเช่นเดียวกัน ดังนั้นอุปาทานทุกข์ที่กำลังดำเนินรับรู้อยู่นั้น ก็จักค่อยๆมอดดับ หรือเปรียบดังระลอกคลื่นที่ค่อยๆจางคลาย หายไป เมื่อหยุดการกระทำต่างๆนาๆลงไปเสีย ด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์อันเที่ยงแท้เป็นที่สุด
นอกจากนั้นแล้ว ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปดังที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวสอนไว้ในหนังสือ อตุโล ไม่มีใดเทียม (หน้า ๑๔๑)
"ส่วนผู้ที่ประสบภัยพิบัติ หรือผู้ที่ตกในสภาวะอับจน ก็ไม่ควรหมดอาลัยตายอยากควรทําจิตใจให้สงบระงับตั้งมั่นอยู่(webmaster - สงบ,ละดำริพล่านลงเสียก่อน) ก็จะค่อยๆหาทางออกให้แก่ตนได้ เพราะปัญหาทุกอย่างที่ไม่มีทางออกทางแก้ ย่อมไม่มีในโลก ดูเอาเถอะว่า แม้แต่ปัญหาเรื่องความทุกข์ อันเกิดจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธองค์ก็ยังหาคําตอบไว้ให้ได้ สําหรับปัญหาอื่นๆ อันเล็กน้อยจะไม่มีคําตอบได้อย่างไร"
เหตุที่ท่านหลวงปู่กล่าวดังนี้ เพราะเมื่อเหตุแห่งทุกข์อันเป็นไปตามกระแสของสภาวธรรมที่ยังคงต้องมีอยู่ คือสภาวธรรมหรือธรรมชาติ อันไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ เมื่อมากระทบเข้าแล้วตามวิบากกรรมหรือตามธรรมชาติ ดังเช่นเหล่าทุกขอริยสัจทั้งปวงที่มี ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความปรารถนาในสิ่งใดไม่ไได้ในสิ่งนั้น การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ที่ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่เสมอๆโดยธรรมคือธรรมชาติ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมยังให้เกิดทุกขเวทนาขึ้นเป็นธรรมดาทุกครั้งทุกทีไป ก็ต้องปฏิบัติให้เป็นไปดังนี้ "เหตุแห่งทุกข์นั้นมีอยู่ แต่ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น" กล่าวคือแม้เป็นสภาพที่หนีวิบากของกรรมไม่พ้นก็จริงอยู่ เพราะได้ทำเหตุไปแล้ว จึงย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันคือเกิดวิบากของกรรมขึ้นก็ตามที แต่อยู่ในสภาวะ"เหนือกรรม" คือวิบากของกรรมส่งผลไปไม่ถึงระดับให้เป็นทุกข์อุปาทานที่เร่าร้อนขึ้น กล่าวคือ เมื่อมีสติมั่นและปัญญารู้เท่าทันไม่ให้เกิดเป็นอุปาทานทุกข์ขึ้น เมื่อไม่เกิดอุปาทานทุกข์ จิตใจก็ไม่เร่าร้อนเผาลน อยู่เหนือผลของวิบากกรรมทั้งปวง เมื่อทุกข์ไม่รุมเร้า สติปัญญาก็แจ่มใสในการแก้ปัญหาที่เหตุได้อย่างแจ่มแจ้ง หรือสงบตั้งมั่น ไม่ถูกครอบงำด้วยตัณหาอุปาทานที่ทำให้ปัญญามืดมัว ก็เพื่อให้เหตุแห่งทุกข์ทั้งหลายนั้นซึ่งตกอยู่ใต้อำนาจของพระไตรลักษณ์เช่นเดียวกันกับสังขารอื่นๆอย่างยุติธรรม จึงต้องจางคลายแลดับไป เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ในความสงบได้จึงย่อมผ่านพ้นวิกฤติไปในที่สุด จึงเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามให้อานิสงค์หรือผลที่ได้รับสูงกว่าการทำบุญ ทำทาน ถือศีล กินเจ ฯ.เสียอีก เป็นการปฏิบัติอย่างปรมัตถ์ตามความเป็นจริงขั้นสูงสุดจึงย่อมได้อานิสงส์สูงสุดเช่นกัน
อุเบกขา ดังที่กล่าวมาในบทนี้ หมายถึง อุเบกขาองค์ธรรมสุดท้ายในสัมโพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการดับทุกข์คือตรัสรู้ ที่หมายถึง เป็นอุเบกขาที่เกิดแต่กำลังสัมมาสติ,สัมมาสมาธิและสัมมาปัญญา จึงตั้งจิตเจตนาอย่างตั้งมั่นคือแรงกล้า ในการวางใจเป็นกลาง ด้วยการวางทีเฉย ที่หมายถึง แม้เกิดความรู้สึกคือเวทนา ที่เป็นสุขคือสุขเวทนา หรือเป็นทุกข์คือทุกขเวทนา หรือเฉยๆคืออทุกขมสุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนา อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นก็ตามทีอันย่อมเป็นไปตามธรรม คือตามการผัสสะที่เกิดคือมีเหตุจรมากระทบนั้นๆ จึงไม่ใช่หมายถึงการที่ต้องมีความรู้สึกเฉยๆคืออุเบกขาเวทนาเกิดขึ้นเมื่อมีการผัสสะแต่อย่างใด แล้วกระทำอย่างตั้งใจมั่นด้วยการ ไม่โอนเอียงไปคิดนึกปรุงแต่งด้วยกริยาจิต หรือถ้อยคิดใดๆ ในเรื่องนั้นๆ เพราะเมื่อขาดเหตุก่อ ให้ต่อเนื่องเสียแล้ว พระไตรลักษณ์ย่อมเข้าทำหน้าที่ของเขาโดยธรรมหรือธรรมชาติทีเดียว ย่อมไม่ละเว้นต่อสังขารทั้งปวง แม้สังขารความทุกข์เหล่านั้นที่เกิดขึ้นมา ย่อมต้องแปรปรวนดับไป เมื่อขาดเหตุก่อให้ต่อเนื่องยืดยาวออกไป
แนวทางการดับทุกข์ที่กำลังเร่าร้อนเผาลนแบบต่างๆลงไปเสียก่อน
แล้วเจริญวิปัสสนา
ปฏิบัติตามปัญญาแนวทางปฏิจจสมุปบาท
การดับทุกข์ที่เผาลน แนวทาง โพชฌงค์ ๗
การดับทุกข์ที่เผาลน แนวทาง สติปัฏฐาน ๔ - ภิกขุนีสูตร
|