๑๒. อาสวะกิเลสร่วมด้วยอวิชชา เป็นเหตุปัจจัย จึงมีสังขารขึ้นอีก |
|
วงจรจักดําเนินย้อนกลับมาสู่ที่เดิม หรือจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงสมมุติ จึงทําให้วนเวียน, เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ (เวียนว่ายตายเกิดในภพในชาติหรือในกองทุกข์)ตั้งแต่ในปัจจุบันชาติ เพราะความทุกข์และสุขที่เคยเกิดเคยเป็นอันประกอบด้วยกิเลส ที่ดับหรือมรณะไปแล้วก็ยังล้วนเก็บจำในรูปอาสวะกิเลสที่นอนเนื่องหมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน และจักไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบกับอารมณ์ต่างๆ (รูป รส ฯ.) จึงทําให้จิตหมองหรือขุ่นมัวหรือเศร้าหมอง ซึ่งเป็นปัจจัยทําให้ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงแห่งธรรม(ธรรมชาติ)หรืออวิชชา ซึ่งกลายเป็นตัวกระตุ้น เร่งเร้า จึงเป็นแหล่งพลังที่ขับดันหนุนเนื่องให้วงจรสามารถหมุนเวียนเคลื่อนต่อๆไป และเพราะร่วมด้วยกับอวิชชา คือไม่มีวิชชาความรู้ความเข้าใจในเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ จึงปล่อยไปตามกระแสธรรมของการเกิดขึ้นของทุกข์ หรือปล่อยไปตามยถากรรมตามธรรมชาติที่ย่อมดำเนินไปในทางก่อภพก่อชาติ ดุจเดียวดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่าเท่านั้นโดยธรรม(ธรรมชาติ) ดังนั้นเมื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยร่วมกันจึงยังให้เกิด ---> สังขาร อันย่อมเป็นสังขารกิเลสขึ้้นใหม่ --->....ฯลฯ. จึงวนเวียนเป็นวงจรหรือ วัฏฏะ หรือภวจักรของทุกข์ขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา อันรวมถึงอาจไปก่อทุกข์อื่นๆเพิ่มอีกด้วยจากจิตที่ขุ่นมัวเศร้าหมอง จึงเกิดภพเกิดชาติอย่างต่อเนื่องไม่รู้จักจบสิ้นโดยไม่รู้ตัว จนกว่าจะมีสติมารู้ มาเข้าใจ หรือถูกเบี่ยงเบนหรือบดบังโดยเหตุอื่นๆก็ได้ แล้วก็วนๆเวียนๆเกิดดับๆอยู่เช่นนี้อีก เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาลนาน........
ดูภาพวงจรปฏิจจสมุปบาทอย่างละเอียดประกอบการพิจารณา
คลิกที่นี่
ชรา-มรณะ + อาสวะกิเลส (โสกะ + ปริเทวะ + ทุกข์ + โทมนัส + อุปายาส)นั้นในมุมมองของหลักธรรมปฏิจจสมุปบาทแล้ว พระพุทธองค์ทรงรวมเรียกว่าทุกขสมุทัย, เช่นเดียวกันกับ"ทุกขสมุทัย ในอริยสัจ๔"ถ้ากล่าวถึงในหลักอริยสัจ, เพราะชรา-มรณะ + อาสวะกิเลส กล่าวคือเมื่อแปรปรวนวนเวียนเร่าร้อนอยู่ในกองทุกข์จนดับลงไปตามธรรมหรือธรรมชาติแล้ว ย่อมเกิดสัญญาหรือความจําได้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา อันย่อมพรั่งพร้อมทั้งความจำในกิเลสที่แฝงอยู่นั้นด้วย หมักหมมไว้ภายในจิต(ใต้สํานึก) อันเป็นกระบวนธรรมหรือกลไกตามปกติธรรมชาติของชีวิตของปุถุชน และสัญญาจําแฝงกิเลสเหล่านี้สามารถผุดหรือคิดขึ้นมาเองบ้างอันเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาของปุถุชนผู้มีชีวิต หรือเมื่อเกิดถูกกระตุ้นหรือจําขึ้นมาจากการผัสสะ หรือเจตนาขึ้นมาก็ตามที ต่างล้วนแล้วแต่แฝงกิเลสสิ่งที่ทําให้จิตมัวหมองทั้งสิ้น และเพราะอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริงในสภาวธรรมชาติของทุกข์และการดับทุกข์ กล่าวคือยังไม่มีวิชชาหรือวิชาความรู้ในเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ จึงทําให้ไม่ทราบว่าต้องปฏิบัติอย่างใด จึงปล่อยกายใจไปตามกระแสสภาวธรรมชาติโดยไม่มีวิชชาแก้ไข จึงปล่อยให้เป็นไปตามกระแสอาสวะกิเลสที่เกิดขึ้นมาเหล่านั้น จึงเกิดสังขารสิ่งปรุงแต่งขึ้น...--->..แล้วเป็นปัจจัยให้เกิดเหตุปัจจัยอื่นๆต่อเนื่องเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ขับดันให้วงจรแห่งความทุกข์นี้ขับเคลื่อนเป็นวงจรหรือภวจักรไปตลอดกาลนาน
ด้วยเหตุที่ชรา-มรณะและ อาสวะกิเลสนี้ท่านจัดเป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องละหรือกําจัด เฉกเช่นเดียวกับสมุทัยในอริยสัจ จึงควรโยนิโสมนสิการให้เกิดญาณความรู้ความเข้าใจให้ถ่องแท้ และญาณหรือความรู้ในอาสวะกิเลสอันเกิดขึ้นจากชรา-มรณะนี้จัดเป็นญาณรู้ในขั้นสุดท้ายหรือสูงสุดในการดับทุกข์ทีเดียวคือ "อาสวักขยญาณ" หมายถึงญาณที่เป็นภูมิรู้ภูมิธรรม จนสามารถดับอาสวะกิเลสอันเป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์ได้ ดับอาสวะกิเลสนั้นไม่ได้หมายถึงการดับสัญญาจําอันแฝงกิเลส แต่เป็นภูมิรู้ภูมิเข้าใจที่ดับกิเลสที่แฝงอยู่ในสัญญา คงเหลือแต่สัญญาความจําอันบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอันขุ่นมัว เศร้าหมอง
ปฏิจจสมุปบาท โดยย่อ
ภาพประกอบ แบบสมุทยวาร หรือการเกิดขึ้นแห่งทุกข์
อาสวะกิเลสและอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริงในสภาวะธรรมของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์และการดับไปของทุกข์ จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันยังให้เกิดสังขารความคิดนึกและการกระทําต่างๆตามที่ได้เคยสั่งสม, อบรม, เคยประพฤติ, ปฏิบัติไว้แต่เก่าก่อน(อดีต) อันเนื่องมาจากอาสวะกิเลสอันเป็นสัญญาจําที่นอนเนื่องชนิดที่แฝงด้วยกิเลสนั่นเอง จึงยังให้สังขารที่เกิดขึ้นนี้เป็นสังขารกิเลส
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณระบบประสาทการรับรู้ในสังขารที่เกิดขึ้นนั้น ตามหน้าที่ของวิญญาณหรือระบบประสาทนั้นๆ อันเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติของผู้มีชีวิต
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้นาม-รูปเกิดครบองค์ชีวิต ที่หมายถึง การตื่นตัวครบองค์ประกอบในการประกอบการงานหรือหน้าที่ตามสังขารที่จรเกิดขึ้นมาในขณะนั้น
จึงย่อมเป็นเหตุปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสฬายตนะ ที่หมายถึง อวัยวะในการรับการสัมผัสสื่อสารหรือทวารทั้ง ๖ ตื่นตัวทํางานตามหน้าที่ตนโดยสมบูรณ์ คือ ทวารใดที่รับผิดชอบในสังขารที่เกิดขึ้นมากระทบสัมผัสในครานี้ ก็ย่อมตื่นตัวเข้าทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสังขารที่เกิดขึ้นมาในครานี้
จึงย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดครบองค์ประกอบของการรับรู้ในการกระทบสัมผัสของสังขาร หรือเกิดผัสสะอย่างครบถ้วนบริบูรณในสังขารนั้น อย่างถูกต้องเป็นธรรมดาของผู้มีชีวิต
จึงย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนาความรู้สึกรับรู้และจําได้ ต่อสังขารนั้นๆ ที่มาผัสสะนั้น อันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาความทะยานอยากหรือไม่อยากในเวทนาที่เกิดขึ้นนี้
ซึ่งย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานอันยึดมั่นในกิเลส หรือยึดมั่นที่จะให้เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวของตน, เพื่อสนองความต้องการของของตนให้เป็นไปตามตัณหาที่เกิดขึ้นมานั้น
จึงเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ที่อยู่ของจิต ที่หมายถึง สภาวะจิตอันย่อมไปตามกำลังหรืออิทธิพลของอุปาทานที่ได้ครอบงําแล้ว หรือก็คือภาวะ,บทบาทที่จะกระทําไปตามกำลังอิทธิพลของอุปาทานที่เกิดขึ้นมาในครานี้
อันย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดชาติความเกิดขึ้นแห่งทุกข์โดยสัญญาหมายรู้ที่ถูกครอบงําแล้วโดยอุปาทาน แล้วจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดชราอันแปรปรวน เพื่อรอเวลาแห่งการแตกดับไป อันเป็นสุขบ้าง เป็นทุกขบ้าง หรือทั้งสุขและทุกข์คละเคล้าไปบ้าง เกิดดับ เกิดดับ....วนเวียนอยู่เยี่ยงนั้น อันล้วนเป็นอุปาทานขันธ์๕ ในชราอันล้วนเป็นทุกข์เร่าร้อนเผาลนทั้งสิ้น อันเป็นไปตามภพที่จิตอาศัยอยู่ขณะนั้น อันย่อมเป็นไปตามกําลังของอุปาทานที่ครอบงํานั่นเอง จนมรณะดับไปในที่สุด และย่อมเก็บความทุกข์ตลอดจนความสุขทางโลกต่างๆนั้นไว้เป็นอาสวะกิเลสหรือสัญญาจําที่นอนเนื่องซึมซาบย้อมจิตและแฝงด้วยกิเลสนั่นเอง ตามสภาวธรรมของชีวิตในการจดจำในสิ่งต่างๆได้เป็นธรรมดา
แล้วอาสวะกิเลสจึงเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชาความไม่รู้ในความเป็นจริงอันครอบงําขึ้นมาอีก จึงเป็นปัจจัยให้วงจักร หรือวงจรแห่งความทุกข์นี้หมุนหนุนเนื่องอย่างไม่ขาดสาย เป็นวงจรอุบาทว์ ที่ทําให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติไปตลอดกาลนาน.
ธรรมตามที่ได้แสดงมาแล้วนี้ จึงบังเกิดเป็นคติธรรมขึ้นดังนี้
คติธรรม
จิตมีเวทนาปรุงแต่งตัณหาเป็นเหตุ |
|
ผลของจิตมีเวทนาปรุงแต่งตัณหา |
|
สติเห็นกาย,เวทนา,จิตสังขารหรือธรรม |
|
ผลของสติเห็นกาย,เวทนา,จิต,ธรรม |
พนมพร คูภิรมย์
คติธรรมนี้รวบรวมแฝงแก่นธรรมอันสําคัญยิ่งทางพุทธศาสนา
อันเมื่อบริกรรม ท่องบ่น เพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ เครื่องพิจารณา
อันพึงมีความเข้าใจในความหมายของธรรมเหล่านี้ด้วย จึงจักยังผลอันยิ่งใหญ่ อันมี
แสดงธรรมอิทัปปัจจยตาที่ว่า เพราะเหตุนี้มี ผลเหล่านี้จึงเกิดขึ้น |
|
เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา หมายถึงเมื่อเกิดเวทนาขึ้นแล้ว อาจเกิดตัณหาความทะยานอยากหรือความไม่อยากต่อเวทนาที่เกิดขึ้นเหล่านั้น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์ขึ้นโดยตรง สังขาร อันเกิด จาก อาสวะกิเลสและอวิชชา เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์อุปาทาน (อ่านรายละเอียดใน ปฏิจจสมุปบาท) |
|
อริยสัจ : |
อันมี ทุกข์อริยสัจ และทุกข์อุปาทานอันเป็นทุกข์ สมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์, นิโรธคือการพ้นทุกข์ มรรคคือทางปฏิบัติให้พ้นไปจากทุกข์ |
ทางสายเอกในการปฏิบัติ อันควรปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย สติเห็นธรรมใดก่อนปฏิบัติธรรมนั้น
แล้วเป็นกลางวางทีเฉย(อุเบกขา)โดยการไม่เอนเอียงไปคิดนึกปรุงแต่งทั้งทางดีหรือชั่ว อันหมายถึงไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ กล่าวคือไม่ไปยึดทั้งในด้านดี(กุศล)หรือด้านร้าย(อกุศล)ในเรื่องนั้นๆ อันต่างล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อันยังให้เกิดทุกข์ในที่สุดโดยไม่รู้ตัว |
|
จำแนกแตกธรรม ในแต่ละองค์ธรรม
หรือดำเนินต่อไปใน
เกร็ดธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับปฏิจจสมุปบาท
ฝ่ายสมุทยวาร หรือฝ่ายการเกิดขึ้นแห่งทุกข์
หรือดำเนินต่อไปใน
ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายนิโรธวาร หรือฝ่ายดับทุกข์
|